ขายรถ 7 เดือนทะลุ 4.9 แสนคัน ตลาดโต 15% ฮอนด้าขายลดลง 4.5%

โรงงานผลิตรถยนต์
แฟ้มภาพประกอบข่าว

ขายรถยนต์ 7 เดือนเฉียด 5 แสนคัน โต 15.4% โตโยต้านำโด่ง 162,309 คัน ฮอนด้า ขายลดลงเกือบ 5% คาดเดือนสิงหาคมโตเพิ่ม

นายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ ช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กรกฎาคม 2565) ว่า ตลาดรถยนต์รวมมีปริมาณการขาย 491,329 คัน เพิ่มขึ้น 15.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้ว

อันดับที่ 1 โตโยต้า 162,309 คัน เพิ่มขึ้น 20.9% ส่วนแบ่งตลาด 33.0%, อันดับที่ 2 อีซูซุ 126,171 คัน เพิ่มขึ้น 18.1% ส่วนแบ่งตลาด 25.7%, อันดับที่ 3 ฮอนด้า 47,417 คัน ลดลง 4.5% ส่วนแบ่งตลาด 9.7%

ส่วนสถิติการขายประจำเดือนกรกฎาคม 2565 มีตัวเลขการขายรวมทั้งสิ้น 64,033 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 19,194 คัน เพิ่มขึ้น 15% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 44,839 คัน เพิ่มขึ้น 25.4% และรถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซ็กเมนต์นี้ มีจำนวน 34,054 คัน เพิ่มขึ้น 22.4%

นายสุรศักดิ์เปิดเผยว่า ประเด็นสำคัญตลาดรถยนต์เดือนกรกฎาคมมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15% ส่วนตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเจริญเติบโตเช่นเดียวกันที่ 25.4% แม้จะอยู่ในช่วงกลางฤดูฝนซึ่งปกติเป็นช่วง Low Season ของทุกปี แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ หลังหยุดชะงักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

สังเกตได้จากสภาพการจราจรบนท้องถนนที่กลับมาติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งประชาชนต่างเร่งเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน และกลับมาติดขัดอีกครั้งในช่วงเย็นหลังเลิกงาน และถึงแม้สถานการณ์ราคาน้ำมันยังไม่ปรับลดลงจนประชาชนพอใจ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้รถยนต์ส่วนตัว เนื่องจากมีความจำเป็นในการเดินทางที่สะดวก ปลอดภัย กว่าการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้ยอดขายรถยนต์ใหม่ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

นายสุรศักดิ์กล่าวถึงแนวโน้มตลาดรถยนต์ในเดือนสิงหาคมว่า มีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการแนะนำรถยนต์รุ่นสำคัญเข้าสู่ตลาดของค่ายรถยนต์ ประกอบกับแรงกระตุ้นของแคมเปญการตลาดในช่วงงานบิ๊กมอเตอร์เซล

ซึ่งนอกจากกระตุ้นยอดขายรถยนต์ภายในงาน ยังขยายข้อเสนอพิเศษไปยังโชว์รูมผู้แทนจำหน่าย ทั่วประเทศอีกด้วย นับเป็นโอกาสดีที่ทำให้ประชาชนสามารถมีรถยนต์ใช้ได้ง่ายขึ้น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เจริญเติบโตผ่านเครือข่ายธุรกิจรถยนต์ได้อีกทางหนึ่ง