
เชอรี่ จับมือ คิงเจน ร่วมทุนปักหมุดตั้งโรงงานผลิต OMODA & JAECOO รถยนต์ไฟฟ้า 100% ในไทย ลั่นไตรมาส 2 ปี 2568 เฟสแรก 5 หมื่นคันต่อปี
วันที่ 24 สิงหาคม 2567 นายเฉิน ชุนชิง รองประธาน เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล ค่ายรถยักษ์ใหญ่ของจีน บริษัทแม่ของ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จับมือ บริษัท คิงเจน จำกัด (มหาชน) KGEN สร้างความสำเร็จครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งใหม่ในไทย เพื่อผลิตรถยนต์ OMODA และ JAECOO ด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 โดยจะมีกำลังการผลิตในเฟสแรก 50,000 คันต่อปี และภายในปี 2571 จะขยายเป็น 80,000 คันต่อปี พร้อมลุยตลาดในประเทศและส่งออกทั่วโลก หวังผลักดันไทยขึ้นแท่นฮับ EV ของภูมิภาค
“เชอรี่กรุ๊ปมีประสบการณ์ด้านยานยนต์ระดับโลกมากว่า 27 ปี ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไปกว่า 80 ประเทศทั่วโลก มีโรงงานในต่างประเทศกว่า 10 แห่ง พร้อมผู้แทนจำหน่ายและศูนย์บริการมากกว่า 1,500 แห่ง รวมถึงมีศูนย์วิจัยและพัฒนาทุกภูมิภาคทั่วโลก”
ขณะที่นายฉี เจี๋ย ประธาน บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ร่วมลงทุนสร้างโรงงานในครั้งนี้ จะเน้นผลิตรถไฟฟ้าทั้งแบบแบตเตอรี่และไฮบริด โดยเฟสแรกมีเป้าหมายการผลิตรถ JAECOO EV จำนวน 50,000 คัน ภายในปี 2568 และเฟสต่อมามีเป้าหมายผลิตรถ OMODA EV จำนวน 80,000 คัน ภายในปี 2571 สำหรับขายในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ได้สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริการหลังการขายของทั้งสองแบรนด์ ที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านผู้จำหน่าย โอโมดา แอนด์ เจคู ทั่วประเทศทั้ง 23 แห่ง และจะขยายถึง 40 แห่งภายในปีนี้
นางสาวพรทิพย์ ตรงกิ่งตอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิงเจน จำกัด (มหาชน) หรือ KGEN กล่าวว่า การร่วมทุนในโรงงานผลิตรถยนต์ภายใต้ความร่วมมือกับ เชอรี่ อินเตอร์เนชันแนล ในครั้งนี้ทาง KGEN ถือหุ้น 60% ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ไทย จากการลงทุนในอดีตที่บริษัทต่างชาติจะลงทุนเองทั้ง 100% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของไทยจากการเป็นเพียงแหล่ง OME โดยโรงงานแห่งนี้จะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในการส่งออก ที่สามารถรองรับการผลิตรถยนต์ทั้งพวงมาลัยขวาและพวงมาลัยซ้าย ซึ่ง โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) ตั้งเป้าหมายมุ่งยกกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถพวงมาลัยขวาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกฉียงใต้ และการขยายตลาดส่งออกจะเป็นส่วนสำคัญในการดึงเม็ดเงินกลับเข้าสู่ประเทศตามเป้าหมายของรัฐบาล เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ KGEN และช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดยานยนต์ระดับโลก