เพจพลเอกประวิตร ลงภาพ “บิ๊กป้อม” สมัยเป็นนักรบ แจงเหตุผลทำไม “โสด”

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยเป็นทหารหนุ่ม
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยเป็นทหารหนุ่ม

เพจ General Prawit Wongsuwon โพสต์ภาพบิ๊กป้อมสมัยเป็นทหารหนุ่มนักรบ ยืนยันรบหนักไม่เคยอยู่หลังลูกน้อง เผยความผูกพันระหว่าง 3 . ตั้งแต่สมัยเป็นผู้บังคับกองร้อย พร้อมเฉลยด้วยว่าทำไมถึงต้องอยู่เป็นโสดจนถึงปัจจุบัน ทั้ง ที่เคยมีแฟนและเกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว

วันที่ 1 กันยายน 2565 เพจเฟซบุ๊กพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ General Prawit Wongsuwon” โพสต์ภาพและข้อความเรื่อง “‘พี่ป้อมผู้รักแม่และชอบชิมรบหนักไม่เคยอยู่หลังลูกน้อง มีเนื้อหาจากหนังสือพี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดีจัดทำขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 76 ปี ของ พล..ประวิตร เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565

ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พล..ประวิตร นั่งรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

เนื้อหาเล่าถึงขีวิตในแต่ละช่วงวัยของ พล..ประวิตร ตั้งแต่สมัยเรียน ความเป็นพี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้องชายทั้ง 4 คน ความรักที่มีต่อมารดา รวมทั้งเหตุผลที่ทำไมถึงยังอยู่เป็นโสด รวมทั้งเบื้องหลังความรักกันของพี่น้อง 3 . มีใจความว่า

พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี

หนังสือ พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี ซึ่งจัดทำขึ้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 76 ปี ของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติตั้งแต่ชีวิตวัยเยาว์ ไลฟ์สไตล์ ช่วงเป็นนักเรียนเตรียมทหาร จนกระทั่งเข้ารับราชการทหาร และเข้าสู่การเป็นนักการเมือง หนังสือดังกล่าวจัดทำขึ้นจากน้อง ๆ ที่ทำงานด้วยกันมา ต้องการบันทึกเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตของพลเอกประวิตรไว้เป็นหนังสือ

เนื้อหาระบุว่าพี่ป้อมเป็นทหารมาตลอดชีวิต จึงค่อนข้างเคยชินกับการใช้คำพูดที่ดูโผงผางเสียงดังทำให้ดูเสมือนเป็นคนดุหรือเข้มงวดในเวลาทำงาน แต่ถ้ามีโอกาสสัมผัสชีวิตส่วนตัวของท่านเมื่ออยู่นอกเวลางานแล้ว จะพบว่าเป็นคนอ่อนโยนอารมณ์ดี มีเมตตา ใครได้ใกล้ชิดจะรู้สึกสบายใจ

ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย ผู้ใหญ่ ผู้น้อยผู้ใต้บังคับบัญชา และมักจะกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเป็นคนที่รักเพื่อนพ้อง ลูกน้อง มีความเป็นผู้นำ เสียสละและเป็นผู้ให้ อีกทั้งเป็นผู้ประสาน สิบทิศที่ทุกองค์การให้การยอมรับ

นอกจากนั้นยังเป็นผู้ที่ยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างที่สุด เป็นลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีอย่างยิ่ง รักครอบครัว รักเพื่อน รักลูกน้อง ชอบเล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ

ชอบทำบุญชื่นชอบในธรรมชาติ รักงานศิลปะ ชอบทำกับข้าว และมักหาอาหารอร่อย ๆ ให้คนใกล้ชิดรับประทาน รวมทั้งมีสุนัขตัวโปรดเป็นเพื่อนเล่น แม้ปัจจุบันจะเข้ามาทำงานการเมืองก็ไม่เคยเปลี่ยนวิถีชีวิตและการทำงานไปจากเดิม

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยหนุ่มๆ

หนังสือระบุว่าพี่ป้อมเกิดในครอบครัวทหาร มีคุณพ่อรับราชการเป็นนายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ คือ พลตรีประเสริฐ วงษ์สุวรรณ และ คุณแม่สายสนี วงษ์สุวรรณ โดยพี่ป้อมเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 4 คน

เนื่องจากคุณพ่อมีภารกิจต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ทำให้คุณแม่สายสนีต้องดูแลลูก ๆ ด้วยการหารายได้เสริม จึงต้องขายอาหาร เช่น ข้าวแกง อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มมัด กล้วยแขก และขนมอื่น ๆ ซึ่งพี่ป้อมต้องทำหน้าที่นำอาหารไปขายหรือส่งให้ลูกค้าตามสถานที่ต่าง ๆ ทำหน้าที่ลูกชายคนโตของบ้านและพี่ของน้อง ๆ จ่ายแล้วทำเป็นชื่อพี่ชายที่แสนดีมาตั้งแต่วัยเยาว์

แจงเหตุผลอยู่เป็นโสดจนถึงปัจจุบัน

ไม่ว่าคุณแม่จะพูดกับพี่ป้อมอย่างไรหรือในเรื่องอะไรก็ตาม พี่ป้อมจะถือคำพูดของคุณแม่คำไหนเป็นคำนั้น แล้วจะเชื่อฟังและปฏิบัติทุกอย่างที่คุณแม่บอก และอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พี่ป้อมเชื่อฟังคุณแม่อย่างยิ่งก็เพราะคุณแม่พูดเรื่องอะไรก็ตามก็มักจะถูกเสมอ

สิ่งที่พร่ำสอนเสมอคือให้กตัญญูต่อชาติ ต่อแผ่นดิน ต่อพระมหากษัตริย์ และต่อผู้มีพระคุณ อีกทั้งยังสอนในเรื่องของความซื่อสัตย์เสียสละจริงใจต่อมิตรสหาย ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ให้รักครอบครัว โดยเฉพาะน้อง ต้องถือเป็นเรื่องสำคัญ

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็น ถึงความกตัญญูและความรักที่มีต่อครอบครัวคือการที่คงความเป็นโสดมาถึงปัจจุบัน ซึ่งหลายคนเคยสงสัยว่าทำไมถึงไม่แต่งงาน ซึ่งคนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่า เพราะพี่ป้อมเป็นห่วงว่าจะไม่มีคนดูแลคุณแม่

อดีตว่ากันว่าพี่ป้อมเคยมีแฟนที่เกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่พี่ป้อมเป็นห่วงคุณแม่ กลัวว่าจะไม่มีเวลาให้ท่านอย่างเต็มที่ ประกอบกับพี่ป้อมมีชีวิตกับลูกน้อง ตามแนวชายแดนตลอด ทำให้ต้องตัดใจจากการมีชีวิตคู่ มาใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่”

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สมัยหนุ่ม

ความผูกพันระหว่าง 3 .

ในหนังสือดังกล่าวยังพูดถึง ความผูกพันระหว่าง 3 . โดยเฉพาะที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองร้อย ที่กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ได้มีนายทหารรุ่นน้อง 2 คนมาพักรวมกันอยู่ที่บ้าน โดยพี่ป้อมจะแนะนำสั่งสอนตลอดจนดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของน้องทั้ง 2 คนเป็นอย่างดี เป็นคนเข้าครัว ทำอาหารให้น้องทั้ง 2 คนทานเป็นประจำ ทำให้พี่น้องทั้ง 3 คนสนิทกันมาก มีความรักใคร่กลมเกลียว โดยยึดถือพี่ป้อมเป็นผู้ใหญ่ตลอดมา

ซึ่งน้อง 2 คนนั้นคือพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั่นเอง

หนังสือยังระบุถึง พี่ครามนายปัฐวาท ศรีสุขวงศ์ เพื่อนนักเรียนโรงเรียนเซนต์คาเบรียล ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นเพื่อนรักที่คบหากันมากกว่า 60 ปี อีกทั้งครอบครัววงษ์สุวรรณ และครอบครัวศรีสุขวงศ์ สนิทชิดเชื้อกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของการทำบุญที่พี่ป้อมและพี่ครามต่างก็เดินทางสายบุญด้วยกันมาหลาย 10 ปี

พี่ป้อมกับพี่ครามสนิทกันมาก เคยไปกินไปนอนที่บ้านในกองพล ปตอ.เป็นประจำ ไปเตะฟุตบอลด้วยกัน ลอกการบ้านกัน กินข้าวฝีมือคุณย่าหรือคุณแม่สายสนี พี่ป้อมถึงจะตัวเล็กแต่ใจนักเลง ไม่กลัวใคร และมีคุณพ่อเป็นนายทหารก็มักจะช่วยเหลือไม่ให้ใครมาข่มเหงรังแก เมื่อพี่ป้อม มารับราชการทหารก็ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาหน่วยบ่อยมาก ในเรื่องสวัสดิการและเรื่องต่าง ๆ

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

ความผูกพันของเพื่อนทั้ง 2 คนนี้มีมากจริง ๆ อย่างตอนที่พี่ครามป่วยจนเดินแทบไม่ได้ พี่ป้อมจะกุลีกุจอถามไถ่น้อง ๆ ว่ามีหมอเก่ง ๆ ที่ไหน แล้วก็รีบให้ไปติดต่อทันที และยังช่วยเหลือดูแลด้วยตัวเองจนอาการดีขึ้น 2 คนนี้เขารักกันเหมือนพี่น้อง…”

สนใจเรื่องอาหารการกินสายมูตัวยง

ในส่วนของไลฟ์สไตล์นั้น หนังสือระบุว่า พี่ป้อมเป็นคนที่มีวินัยดีมาก ตื่นแต่เช้าเวลา 04.00 . วิ่งออกกำลังกาย จากนั้นก็จะอาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหารเช้าเวลา 05.45 . ทุกวัน และก็จะเข้าที่ทำงานเพื่อทำงานทันที แม้ว่าปัจจุบันขณะดำรงตำแหน่งการเมืองก็ยังต้องตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายเหมือนเดิม นอกจากนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นพี่ป้อมสายบุญ โดยคนใกล้ชิดเล่าให้ฟังว่าสิ่งที่ต้องปฏิบัติเป็นกิจวัตร คือ การถวายสังฆทานเป็นประจำและใส่บาตรทุกวัน หรือหากวันใดที่ไม่สามารถทำด้วยตัวเอง ก็จะให้คนในบ้านดำเนินการแทน นอกจากนั้นยังเป็นคนที่รักธรรมชาติและศิลปะ 

ที่สำคัญเป็นคนที่สนใจในเรื่องอาหารการกิน ชอบหาอาหารอร่อย ๆ ให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ ได้รับประทาน ร้านที่พี่ป้อมแนะนำการันตีเลยว่าอร่อยจริง ปกติแล้วก็เป็นคนทานง่าย ตอนเช้าจะทานประเภทโจ๊ก หรือข้าวต้ม หรือข้าวราดแกงซึ่งคล้ายกับกับข้าวที่คุณแม่เคยทำให้ทานสมัยเด็ก ๆ และจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่โปรดปราน ชื่อร้านรสเยี่ยมอยู่แถวถนนมูลเมืองอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

นอกจากนั้นในวันสบาย ๆ อยู่บ้านก็จะใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่ที่บ้านด้วยการแต่งตัวสบาย ๆ หยอกเล่นกับสุนัขตัวโปรดพันธุ์เชาเชา และด้วยความที่สุนัขพันธุ์เชาเชา มีขนยาวปุกปุย และไม่ถูกโฉลกกับอากาศร้อนในเมืองไทย พี่ป้อมถึงกับติดเครื่องปรับอากาศให้ได้อยู่อย่างมีความสุข เรียกว่าพี่ป้อมใส่ใจในทุกเรื่อง ใส่ใจทุกข์สุขของลูกน้อง แม้ขนาดสุนัขก็ยังได้รับการใส่ใจขนาดนี้

ในส่วนของชีวิตช่วงศึกษาโรงเรียนเตรียมทหาร ด้วยความที่มีบุคลิกที่เป็นคนเมตตา ใจกว้างเสียสละ และเป็นเด็กกรุงเทพฯ จึงเป็นผู้ที่ดูแลเพื่อนพ้องตลอด หรือจะเรียกว่าหัวโจกก็ไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะวันหยุดก็จะพาเพื่อน ๆ ที่อยู่ต่างจังหวัดแต่ไม่ได้กลับบ้านมาพักผ่อนที่บ้านพัก คุณพ่อและคุณแม่ของพี่ป้อมจะคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้อิ่มหมีพีมันตลอดเวลา โดยพี่ป้อมจะชวนเพื่อน ๆ มาเล่นฟุตบอล ในบางครั้งจะพาเพื่อนไปเล่นว่าวที่สนามหลวง และบางโอกาสก็ออกไปเที่ยวกันสนุกสนานแล้วกลับมานอนที่บ้านพล ปตอ.กัน

พี่ป้อมในฐานะทหารหนุ่มเมื่อสำเร็จการศึกษาจาก รร.จปร. ได้ออกปฏิบัติงานสนามในพื้นที่ทุรกันดาร และมีปัญหาการก่อการร้าย โดยได้รับมอบภารกิจทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่บริเวณเทือกเขาภูพาน เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้หมวดใหม่ได้นำกำลังเข้าทำการลาดตระเวนหาข่าว ซุ่มโจมตี และปะทะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หลายครั้ง สามารถจับกุมและยึดอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมเอกสารสำคัญของผู้ก่อการร้ายได้เป็นจำนวนมาก

พื้นที่สำคัญที่ต้องการปฎิบัติภารกิจคือพื้นที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตอิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีการปะทะอย่างรุนแรง 

พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ

ประสบการณ์ออกรบโชกโชน

ในปี 2513-2517 พี่ป้อมอาสาเข้าปฏิบัติราชการสงครามในประเทศที่ 3 เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามจากภายนอกประเทศเข้ามาในประเทศไทย โดยเข้าไปรบที่ประเทศเวียดนามเป็นเวลาประมาณ 1 ปีเศษ เรื่องนี้พี่ป้อมเล่าให้น้อง ๆ ที่จัดทำหนังสือเล่มนี้ฟังว่า

ผมออกรบที่เวียดนามตอนนั้นเขาให้ไปประจำที่ไซ่ง่อน เข้าสังกัดในกองพลเสื้อดำ ที่มีพลเอกเสริม นครเป็นผู้บัญชาการกองพลในสมัยนั้น การจะได้เป็นทหารหากจะให้เติบโตก็ต้องผ่านประสบการณ์สงครามก่อน ช่วงนั้นรบกันหนักมาก ยิงกันทุกวัน บริเวณเส้นขนานที่ 17 ทหารฝ่ายเวียดกงวางกับระเบิดเยอะมากเลย น่าจะมีทหารไทยตายไปหลาย 100 คน

จากนั้นในปี 2517 ถึง 2518 แล้วเรามอบหมายให้ปฎิบัติภารกิจปราบปรามผู้ก่อการร้ายอีกครั้งในพื้นที่อยู่บ้านห้วยโกร๋น อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน เขตรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 ทำหน้าที่นายทหารฝ่ายยุทธการ กองพันทหารราบเฉพาะกิจที่ 212

หรือหนังสือสรุปว่า พี่ป้อมได้ผ่านประสบการณ์การรบที่ดุเดือดทั้งในและนอกประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นการรบในแบบหรือนอกแบบในฐานะนักรบนิรนาม พี่ป้อมจึงเป็นนายทหารที่มีประสบการณ์การรบมากที่สุดคนหนึ่ง ที่หลายคนยังไม่ทราบ ทำให้ได้รับความไว้วางใจในการดำรงตำแหน่งผู้กำกับหน่วยทหารระดับสูงต่อไป

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเสนาธิการบก พี่ป้อมเข้ารับตำแหน่งนายทหารฝ่ายยุทธการ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยเข้าปฎิบัติภารกิจป้องกันประเทศหรือพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดปราจีนบุรีหรือจังหวัดสระแก้วในปัจจุบัน ตั้งแต่ปี 2522 ถึงปี 2540 ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ผู้บังคับการกรม ผู้บัญชาการกองพลและผู้จัดการกองกำลังบูรพา ได้นำหน่วยเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้ามและมีบางครั้งที่ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์การคับขันและเสี่ยงภัย เช่น ยุทธการบ้านหนองปรือ ยุทธการโนนหมากมุ่น เหตุการณ์บ้านหนองเอี่ยน เหตุการณ์บ้านโอบายเจือน เป็นต้น

ก็หนัก ๆ ทั้งนั้นไม่ต่างกัน พลาดไปก็คือตายในทุกพื้นที่ มันไม่มีใครเก่งหรือใครไม่เก่ง ผมยืนยันได้ มันขึ้นอยู่กับยุทธวิธี ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น จะบอกว่าตรงนั้นหนักตรงนี้ไม่หนักไม่มี หรือกำลังมากกำลังน้อยก็คือตายเหมือนกัน กระสุนมันก็ไม่ได้ถามว่าคุณชื่ออะไร แล้วจะปล่อยคุณ ช่วงที่ผมอยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ก็สู้รบกันดุเดือดมาก

ช่วงนั้นผมนอนชายแดนเลยนะ นอนกับลูกน้อง ผมไม่ได้อยู่ที่กองพัน ผมจะอยู่กับกองร้อยข้างหน้าตลอด ผมจะไม่อยู่ข้างหลัง ผมไปกับลูกน้องตลอด จะเดินเลาะชายแดนเดินตามจุดตรวจไปกับลูกน้อง ชีวิตชายแดน มันเป็นอาชีพของเรา และเป็นความภาคภูมิใจของเรา ในการทำงานเพื่อแผ่นดินเกิดอย่างแท้จริง ผมชอบอยู่ชายแดนมากนะ เพราะรู้สึกว่ามันอิสระดี เป็นคำพูดของพี่ป้อมที่ถ่ายทอดให้น้อง ฟัง”