อนุพงษ์ ปิดฉาก 9 ปี อำลาตำแหน่ง มท.1 นัดก๊วนปั่นจักรยาน

อนุพงษ์

มีแค่ 2 คน เท่านั้นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ยาว 9 ปี อยู่ตำแหน่งเดิม ไม่เคยหลุดออกจากตำแหน่ง

แน่นอนคนแรก พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี

แต่อีกคนคือ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ครองเก้าอี้ มท.1 มายาวนาน 9 ปี ไม่มีใครคว่ำลงได้

แม้ตลอดเส้นทาง มีบางจังหวะที่นักเลือกตั้งอาชีพพยายามจะสอยให้ มท.1 ร่วงจากเก้าอี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ พล.อ.อนุพงษ์ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมา 3 จาก 4 ครั้ง

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรก เดือนกุมภาพันธ์ 2563 พรรคฝ่ายค้านนำโดยพรรคเพื่อไทย ใช้เวลาอภิปรายจนหมด ไปไม่ถึงคิวซักฟอก พล.อ.อนุพงษ์

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่สอง เดือนกุมภาพันธ์ 2564 พล.อ.อนุพงษ์ ได้รับเสียงไว้วางใจ 272 เสียง ไม่ไว้วางใจ 205 เสียง

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่สาม เดือนกันยายน 2564 ถือว่าเป็นครั้งที่หนักที่สุดของ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะถูกกบฏผู้กองธรรมนัสเล่นงาน แต่ไร้ชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่สี่ กรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย พล.อ.อนุพงษ์ ได้รับความไว้วางใจ 245 เสียง แต่ถูกไม่ไว้วางใจ 212 เสียง ถือว่าเยอะที่สุดในบรรดารัฐมนตรีที่ถูกยื่นซักฟอก

ในวันที่ทุกอย่างเตรียม “ปิดฉาก” พล.อ.อนุพงษ์ เปิดใจหลังจากอยู่ยาวมา 9 ปี

“อนุพงษ์” บอกว่า “ดีใจที่ได้อยู่ท่ามกลางข้าราชการที่มีความสามารถ”

“วัฒนธรรมองค์กรของข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ก็มีความคล้ายกับกองทัพบก ซึ่งผมเชื่อมั่นในความสามารถของข้าราชการ”

ก่อนพูดว่า “อย่ามาหลอกถาม” !

อย่างไรก็ตาม เจ้าของรหัส มท 1 ที่อยู่มา 9 ปี ยังคงตั้งใจดูแลรักษาสุขภาพ ด้วยการปั่นจักรยาน ซึ่งเป็นกีฬาที่ขื่นชอบ แม้ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน การปั่นจักรยานต้องลดลงเพราะพื้นถนนลื่น แต่ก็เตรียมนัดพรรคพวกก๊วน “ขาปั่น” ไว้แล้วหลังจบภารกิจ

แต่ที่จะดูแลเป็นพิเศษ คือสุขภาพร่างกาย “พล.อ.อนุพงษ์” บอกว่า อายุมากแล้ว ต้องดูแลสุขภาพ จะให้ไปเป็นอะไรต่อก็คงไม่ทำ

“อนาคตของผมอายุขนาดนี้ก็ต้องรักษาสุขภาพดูแลร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีหลานให้เลี้ยง”

“พล.อ.อนุพงษ์” ทิ้งท้าย ฝากสังคมไว้กับสื่อมวลชนเพราะมองว่าในสถานการณ์เหตุการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน สื่อนั้นมีอิทธิพลกำหนดทิศทางเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งดังนั้นจึงขอฝากประเทศชาติไว้ด้วย ส่วนการที่มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามา เมื่อตนลงจากตำแหน่งก็ถือเป็นประชาชนคนธรรมดา

ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหรือตัดสินใจอย่างไรเช่น การขึ้นภาษี และอื่น ๆ อะไรก็ตามเป็นเรื่องของรัฐบาลชุดใหม่ เพราะการบริหารราชการแผ่นดินเชื่อว่า ตอนเราทำอย่างไรเมื่อเขาเข้ามา สื่อก็จะเป็นผู้เช็กความสมดุลให้โดยการวิพากษ์วิจารณ์หากทำดีหรือไม่ดี เพื่อให้สังคมลงตัว

“ผมเข้าใจการทำงานของสื่อที่อาจจะมีคำถามรุนแรง แต่สื่อมวลชนถือว่ามีความสำคัญต่อประเทศชาติมาก เพราะพูดอะไรสังคมจะฟัง จึงอยากฝากว่าถ้าจะทำให้ขัดแย้งก็ทำได้ ถ้าจะทำให้เบาลงก็ทำได้ ฉะนั้นขอฝากประเทศชาติไว้ด้วยดังนั้นใครมาใหม่ผมก็ขอให้กำลังใจ ฉะนั้นเราต้องเคารพการตัดสินใจบริหารแผ่นดินของเขา”

พล.อ.อนุพงษ์ เตรียมปิดฉาก 9 ปี ในหัวโขน สิงห์ มท.1