พันศักดิ์ เพื่อไทย เปิดแผนเจรจาภาษีทรัมป์ ฟังความสหรัฐ-เข้าใจจีน

พันศักดิ์เปิดแผนเจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐ ยันไทยพร้อมเจรจา พร้อมลดภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐมาแปรรูปขายนักท่องเที่ยว 30 ล้านคนในไทย และส่งขายทั่วโลก พร้อมชูจุดแข็งไทย เป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพโลก ด้วยการแข่งขัน รัฐบาลนี้สนทนาทั้งสหรัฐ-จีน ไม่เข้าข้างใคร

พรรคเพื่อไทย เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐอเมริกา ผ่านคลิปวิดีโอ เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 68  ทั้งนี้ นายพันธ์ศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

ในวิดีโอดังกล่าว นายพันธ์ศักดิ์เปิดเผยถึงความพร้อมของทางการไทยในการเจรจากับสหรัฐว่า ยืนยันว่าเรามีความพร้อมกับเรื่องนี้มานานแล้ว เรายืนยันว่าเราพร้อมเจรจาบนพื้นฐานที่เรา “เข้าใจปัญหา” ของสหรัฐอเมริกา เราเป็นคู่ค้ากันมานาน เราต้องคุยกันเพื่อแก้ปัญหานี้

“ท่านทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีพร้อมกันทั้งโลก เราอยู่อันดับที่ 14 หรือ 12 ซึ่งถามผม ตอนนี้ผมก็เห็นใจประธานาธิบดีทรัมป์ ผมรู้ว่าแต่ละวันท่านทรัมป์ออกกฎหมายใหม่ ๆ มา รัฐมนตรีแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติ เพราะประเทศไทยก็เป็นเหมือนกัน และถ้าเราต่อรองกับรัฐบาลใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นใจเขา ว่าเขากำลังจัดการตัวเองอยู่ และเราได้ยื่น Notice ให้เขาไปแล้ว ว่าเราพร้อมคุยด้วย และต้องอย่างมิตร ที่ไม่มีการกล่าวหา และเขาส่งสัญญาณกลับมาว่า เขารู้สึกดีที่จดหมายของนายกรัฐมนตรีไทยถึงเขา ไม่มีการกล่าวหาซึ่งกันและกัน”

พันศักดิ์ยืนยันว่ารัฐบาลนี้พร้อมเผชิญปัญหาเหล่านี้ ทั้งนโยบายรายวันที่มีการเตรียมตัวมาแล้ว โดยเฉพาะตนเองที่ได้เตรียมตัวมานานแล้วตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ เรื่อง “Hillbilly Elegy” หรือ “บันทึกหลังเขา” รวมถึงช่วงก่อนการเลือกตั้ง ที่เราคาดคะเนไว้แล้วว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง ซึ่งเราจะเผชิญ 2 อย่าง นั่นคือเรื่องภาษี และปัญหาความสัมพันธ์ทางการค้าภาพใหญ่ที่เราต้องตอบสนองและนำเสนอ

นำเข้าวัตถุดิบสหรัฐ มาแปรรูปอาหาร

ทุกปีอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปของประเทศไทย โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ซึ่งแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นที่วิ่งขึ้นวิ่งลง เพราะเรามีความสามารถในการผลิตอาหารเพื่อส่งออก ซึ่งไม่ใช่แค่ปริมาณที่มากกว่าการขายผลผลิตทางการเกษตรเพียงอย่างเดียวด้วยซ้ำไป

ADVERTISMENT

ที่สำคัญอาหารไทยที่เรากินกันอยู่ทุกวันนั้น องค์ประกอบอย่างน้อย 30% มาจากสินค้านำเข้า ทั้งจากอินเดีย เมียนมา กัมพูชา จีน เป็นต้น ซึ่งถ้าประเทศไทยจะทำ “อาหารแปรรูป” เพื่อขาย ยังไงก็ต้องนำเข้า และนี่คืออนาคตที่เป็นจริง

“ที่สำคัญ อาหารหมา-แมวของชาวอเมริกัน ไทยขายเป็นที่ 2 ของโลกในสหรัฐ ซึ่งเราต้องใช้ของนำเข้า เพราะวัตถุดิบเราไม่เพียงพอ นี่เป็นตัวอย่างที่เราจะบอกว่าประเทศไทยยินดีที่จะคิดนโยบายร่วมกันกับสหรัฐอเมริกา พร้อมเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ หากสหรัฐผลิตอาหารคุณภาพส่งมายังประเทศไทย เราพร้อมแปรรูปอาหารนั้นเพื่อส่งออกไปทั่วโลก เราไม่ต้องส่งกลับไปอเมริกาก็ได้ แค่ส่งออกไปทั่วโลก

และที่สำคัญ ประเทศไทยมีความสามารถในการแปรรูปอาหารระดับสูง เช่น อาหารแปรรูปแบบออร์แกนิก ซึ่งเราอยากได้วัตถุดิบจากสหรัฐด้วย และทางรัฐบาลใหม่ของสหรัฐก็กำลังสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องคุยกันอย่างสร้างสรรค์ทั้งสองฝ่าย” พันศักดิ์กล่าว

พันศักดิ์เล่าต่อไปอีกว่า ในกระบวนการการผลิตสินค้าสำหรับทุกอุตสาหกรรมทั้งหมดในโลก สิ่งที่ก๊อบปี้ยากที่สุดนั่นคือ “อาหาร” โดยเฉพาะรสชาติและเนื้อสัมผัส คือสิ่งที่ก๊อบปี้ยากที่สุด ถ้าเราทำเก่งในเรื่องการทำอาหารแปรรูป นี่คือพื้นที่ของเราที่เราจะอยู่ ในขณะที่ประเทศอื่นก็สู้กันไปในเรื่องของการผลิตสิ่งเดียวกันออกมาขาย

เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ประเทศไทยต้องหาข้อมูลให้ได้ว่า แหล่งวัตถุดิบพรีเมี่ยมในเอเชียและในสหรัฐอเมริกาที่เราจะเอามาใช้ได้ มันอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วเราก็เอามาใช้ได้เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกและบริโภคเองในประเทศได้อีกด้วย

นำเข้าสินค้าสหรัฐขายในไทยเป็นของฝาก

“เวลาคิดถึงเรื่องไทย-สหรัฐ อย่าคิดแค่ในมิติของการยื่นหมูยื่นแมว เรามันแค่จิ้งหรีดตัวเล็ก ไปยื่นหมูยื่นแมวยังไงก็ไม่เท่าเขา เราต้องคิดว่าเรามีอะไรที่เขาอยากเห็นใจประชาชนเขา แต่เขาก็ไม่สามารถทำนโยบายที่ทำให้ประชาชนที่เขาเห็นใจรู้สึกดีได้ เช่น เรามีนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาไทยปีละ 39 ล้านคน เท่ากับมีลูกค้าที่เราเตรียมของฝากไว้ให้ ซึ่งเป็นของฝากหรือสินค้าจากสหรัฐ 39 ล้านคน

หลายคนไม่อยากเดินทางไกลไปถึงนิวยอร์กหรือแอลเอ แต่ก็สามารถซื้อของมือสอง หรือมือหนึ่งคุณภาพสูงได้จากประเทศไทย และที่สำคัญ ตลาด OTOP ของสหรัฐมีมูลค่าสูงมาก มากกว่าสิบล้านล้านดอลลาร์ เขาไม่ได้ผลิตแค่หนังจากฮอลลีวูดและรถยนต์ฟอร์ด เราเอาแค่ 20 ล้านคนก็ได้ที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐในเมืองไทยไปเป็นของฝาก”

ปั้นกรุงเทพฯ ขายของคุณภาพ-อาหารชั้นดี

“ยกตัวอย่าง กล้องของ Leica ซึ่งเป็นกล้องคุณภาพสูงมาก เราเคยคิดว่าถ้าจะซื้อมือสองคุณภาพดีต้องซื้อที่นิวยอร์ก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าอยากได้มือสองคุณภาพสูง คุณต้องซื้อที่โตเกียว เพราะคนญี่ปุ่นเขาเลือกมาให้คุณแล้ว คุณภาพและราคาไม่โกหก ดังนั้น หากสรุปว่ากรุงเทพฯ คืออะไร คุณยอมไหม ที่กรุงเทพฯ จะเป็นพื้นที่ของการขายของดี มีคุณภาพ และราคาไม่โกหก แม้เป็นของมือสอง เราสามารถทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางของฝากของโลกได้หรือไม่”

พันศักดิ์เล่าอีกว่า แม้กระทั่งการให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางอีกแห่งของการกินอาหารชั้นดีแบบพิเศษของโลกได้หรือไม่ ทำไมโตเกียวเขาทำได้ แล้วกรุงเทพฯ เป็นไม่ได้เหรอ ถามว่าถ้าเรานำเข้าเนื้อคุณภาพจากสหรัฐมา คนไทยจะกินกันซักกี่คน น้อยมาก แต่เรานำมาทำให้นักท่องเที่ยวรับประทานในรูปแบบของเรา ดังนั้น เวลาคิดเรื่องพวกนี้ต้องคิดให้ไกลกว่าปลายจมูกของเรา

ส่วนเรื่องการสวมสิทธิทางการค้านั้น พันศักดิ์เปิดเผยว่ารัฐบาลจีนมีความอึดอัดที่มีการทำเรื่องในลักษณะนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย ซึ่งรัฐบาลจีนเคยขอร้องรัฐบาลไทยให้ใช้กฎหมายเต็มที่สำหรับการสวมสิทธิทางการค้า และการสวมสิทธิไม่ควรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสวมสิทธิโดยสหรัฐในไทยเพื่อไปขายของในจีน หรือไม่ว่าการสวมสิทธิโดยจีนในไทยและไปขายของในสหรัฐ หรือฝรั่งเศสสวมสิทธิในไทยและไปขายของในศรีลังกา

คุมเข้มสวมสิทธิสินค้าไทย

เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เราไม่เลือกข้างในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครสมควรสวมสิทธิของใคร แต่ถ้าไม่ว่าบริษัทจากประเทศใดมาทำธุรกิจ หรือผลิตสินค้าในไทย โดยผ่านกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยทุกประการ

ซึ่งถ้าต่อมาคุณถูกกล่าวหาโดยใครก็แล้วแต่ ว่าท่านมาสวมสิทธิ ประเทศไทยจะต่อสู้ให้คุณด้วย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใด และจากประเทศใดก็ตาม ย้ำว่าเรื่องการสวมสิทธิเราไม่เลือกข้าง เลือกไปแล้วได้อะไร ย้ำว่าทุกบริษัทที่เข้ามาผลิตในประเทศไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายไทย

พันศักดิ์ยังเล่าถึงนโยบายการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐที่ไม่จำเป็นอีกว่า การเก็บภาษีนำเข้าของแอปเปิลจากสหรัฐถึง 50% แต่ในขณะเดียวกันสินค้าบางตัวเขาเก็บเราแค่ 1-2% ตรงนี้มันเวอร์เกินไป เราก็ต้องลดลงมา ไม่กระทบใครทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งสินค้าอื่น ๆ ก็ตามที่เห็นว่าการเก็บภาษีนำเข้าที่ไม่จำเป็น

ทำให้คนอเมริกันได้ประโยชน์จากไทย

“ผมกล้าพูดว่าเราเห็นใจคนอเมริกันมาก ที่ชีวิตตกระกำลำบาก เพราะปรัชญาเศรษฐกิจของอเมริกันแข็งตัวเกินไปที่จะตอบสนองความเป็นจริงของชีวิตของชาวอเมริกันเอง และน่าตกใจที่สุดว่าคนผิวขาวตกงานมากถึงขนาดนี้ มีชีวิตทุรนทุราย ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยโดยเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่มหาอำนาจในโลกมีปัญหาภายใน จนกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นั่นเป็นอันตรายมากกับโลก“

”เพราะฉะนั้น ผมจะคิดอะไรก็ตามที่ทำให้คนอเมริกันเหล่านี้ได้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ของเราและสหรัฐมากที่สุด เพราะเราต้องการเห็นสหรัฐเป็นมหาอำนาจที่มีสติและมีอนาคต เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะประเทศไทยสามารถมีลูกค้าให้สหรัฐ ซึ่งเป็นคนที่มาเที่ยวเมืองไทยปีหนึ่งกว่า 30 ล้านคน และนี่คือ Potential Customer (ลูกค้าที่มีศักยภาพ) ของผลิตภัณฑ์จากสหรัฐในเมืองไทย” พันศักดิ์กล่าว

ชูจุดแข็งผู้ส่งเสริมสันติภาพโลก

ในคลิปวิดีโอที่ถ่ายทำโดยพรรคเพื่อไทย มีการตั้งคำถามว่า การขาดดุลการค้าของสหรัฐกับไทยจะลดลงหรือไม่ พันศักดิ์ตอบว่าลดอยู่แล้ว เพราะเขาขายของให้เราได้มากขึ้น ซึ่งเราหาทุกวิถีทางที่ทำให้เขาขายของให้เราได้มากขึ้น โดยของที่เราได้มานั้นเป็นของที่ราคาดี มีประสิทธิภาพต่อการเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของคนไทย

ส่วนที่หลายคนมองว่ารัฐบาลนี้ทำงานไม่เป็น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตภาษีทรัมป์ พันศักดิ์มองต่าง โดยให้เหตุผลว่า ประเทศไทยมีนโยบายว่าเราจะเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพในโลกนี้ด้วยการแข่งขัน และความมั่งมีร่วมกัน เราจะไม่เข้าข้างใคร แม้เราเข้าข้างจีน จีนก็ยังตรวจทุเรียนเราเหมือนเดิม

งั้นเราลองหันมาดูประเทศอินเดียสิ น่าขายของให้ไหม และรู้หรือไม่ว่า SMEs ที่เราส่งเสริมตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทยเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ขายเครื่องหอม และเครื่องทำความหอมในห้องน้ำให้กับอินเดียเป็นรายได้มหาศาลอย่างน่าตกใจ

เรายืนว่ารัฐบาลนี้จะสนทนาทั้งสหรัฐและจีน อย่าเลยอารมณ์ชั่ววูบ ยกตัวอย่างที่เราเคยทำสำเร็จในการเป็นพื้นที่หลักในเจรจาเพื่อสันติภาพในหลายครั้งของภูมิภาคนี้ เพื่อยุติความขัดแย้ง จนกระทั่ง “เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า” ได้สำเร็จมาแล้ว

“การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โครงสร้างที่ว่าไม่ใช่อิฐ หิน ปูน ทราย ต้นไม้ หรือถนน แต่โครงสร้างที่ว่าคือสิ่งที่ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มต่อสินทรัพย์ที่มีอยู่” พันศักดิ์กล่าว