การเมืองใหม่ ที่ปรับสไตล์จากระบบ “ป๋า” เพื่อสร้างฐานอำนาจใหม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้อยู่ยาว มั่นคง ครบเครื่อง กำลังถูกเซ็ต อย่างเป็นระบบ ปักหมุดอยู่ครบเทอม 4 ปี
ปฏิบัติการ “ขึ้นหลังเสือ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่คิดคุมคนการเมือง-การทหาร ด้วยการควบตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฉีกทุกกฏ-แหกทุกโมเดล ทะลุนอกกรอบการเมืองแบบเก่า
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
นอกจากการจัดแถว-สแกนคุณสมบัติทีมรัฐมนตรีใหม่แล้ว “พล.อ.ประยุทธ์” ยังเตรียมการเซ็ต “ระบบหลังบ้าน” ทั้ง 3 ตำแหน่ง แบบลงหลักปักฐาน
เริ่มจากรวบรวมกองกำลังในกองทัพ-ข้าราชการประจำทีม และเตรียม “นายพลนอกราชการ” ขยับเข้าผสมผสานสู่ “ทีมการเมือง” เป็นเครื่องมือเข้าถึง-เข้าใจงานมวลชน ฐานเสียง
เพราะการเมือง “ยุคสมัยใหม่” ทหาร-รัฐมนตรี-ข้าราชการพลเรือน ต้องเข้มแข็ง มีระเบียบวินัย ทำงานจริงจัง รวดเร็ว
ดังนั้น การสวมบทบาท “3 หมวก” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” จึงต้องครบเครื่องและฟิตมากพอ ที่จะจัดการการเมืองแบบเด็ดขาด-เอาอยู่
แหล่งข่าวระดับสูงทั้งนายพลนอกราชการ-ข้าราชการยืมตัว ในทำเนียบรัฐบาล จึงเตรียมการณ์เซ็ตทีมให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ไว้ 3 ทีม
ทีมแรก เรียกว่า “ทีมแม่บ้าน” คือเลขาธิการพรรค และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ครบเครื่องเรื่องการเมือง มือประสานสิบทิศ ทั้งนักการเมืองระดับประเทศ-ท้องถิ่น จัดวาระเศรษฐกิจและความมั่นคง เชื่อมเครือข่ายธุรกิจ ข้าราชการ และแกนนำมวลชน แบบกดปุ่ม-เสิร์จข้อมูล ได้ทันทีทันใด
ทีมที่สอง “ทีมกุนซือ” หรือทีมที่ปรึกษาพิเศษ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และวางแผนการบริหารทั้งระยะใกล้-ไกล รวมทั้งพิจารณาวาระร้อนได้รวดเร็ว แม่นยำ
ทีมที่สาม “คณะทำงานเฉพาะกิจ” พร้อมประสานงานทุกด้าน-หลากมิติ มีตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ “ทุกสี” ทั้งแนบราว-แนวดิ่ง ตั้งแต่รัฐวิสาหกิจที่ขึ้นตรงสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ ไปจนถึงงานราชสำนัก
การก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 ในบริบทการเมืองแบบใหม่ และตัวแปร-ปัจจัยเสี่ยง มากกว่าเก่า จึงต้องปรับตัวทุกมิติ
“เป็นสูตรใหม่ คิดแบบทุละนอกกรอบ ปรับสไตล์การทำงาน ที่คัดเอาข้อดีของระบบพรรคการเมืองเข้ามาผนวกกับการทำงานแบบทหาร แต่รวดเร็ว แม่นยำ ตอบสนองปัญหาและความต้องการทุกฝ่ายได้ ถ้าทุกทีมผนึกกันลงตัว จะทำให้นายกรัฐมนตรี เอาอยู่ทั้งที่พรรค และที่ทำเนียบ” แหล่งข่าวจากทีมทำเนียบรัฐบาลวิเคราะห์
มีการประเมินสถานการณ์กันในทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วยว่า “สถานการณ์การเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น จะทำให้เครดิตรัฐบาลมีแต่ทรง-กับทรุด ถ้าบริหารทรง ๆ ก็ถือว่าชนะ แต่ถ้าจัดการเศรษฐกิจทรุด ก็เท่ากับเจ๊ง” ดังนั้นทั้ง 3 ทีมของนายกรัฐมนตรี ต้องจัดระบบในทีมให้คล่องตัว มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ข้อที่ถือว่าได้เปรียบสำหรับพรรคพลังประชารัฐ หากนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งหัวหน้า คือจะทำให้เกิดความเข้มแข็งทั้ง 3 ฝ่าย คือ รัฐสภา-ฝ่ายนิติบัญญัติเข้มแข็ง เพราะมีประธานที่เป็นทีมเดียวกัน และพรรคแกนนำคุมเสียงที่ปริ่มน้ำให้นิ่ง พร้อมดีล ส.ส.บริการเสริมไว้ตลอดเวลา
มีฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง เพราะมีนายกรัฐมนตรีคุมคณะรัฐมนตรีที่มีทีมเศรษฐกิจ 3 ทีม และฝ่ายการเมืองเข้มแข็ง เพราะนายกรัฐมนตรีนั่งควบเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองแกนนำ และเตรียมการสร้างพรรคระยะยาว
ขณะที่กระทรวงกลาโหม นั้นจะมี “เหล่าทัพเข้มแข็ง” โดยมี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวลกลางโหม กำกับการบริหารจัดการรายละเอียด ให้ลื่นไหลไปได้ แต่โครงสร้างงานฝ่ายความั่นคง ยังคงขึ้นตรงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
และเพื่อเสริมสร้างบารมี อำนาจ 3 ตำแหน่ง ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งถือว่ายังไม่คุ้นเคยกับวิธีการดีลการเมืองในระบบ “ป๋า” ดังนั้น ต้องมีเวทีที่ให้บรรดาหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล พบปะนายกรัฐมนตรี ในบางโอกาสที่ต้องการตัดสินใจทีเด็ด-ทีขาด
บางเรื่องต้องชงให้ “พล.อ.ประยุทธ์” เล่นบทบาทใช้อำนาจเช่นเดียวกับที่ “ป๋าป้อม-พล.อ.ประวิตร” เคยเล่น หรือบทบาทตามรอยบารมี “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” อดีตประธานองคมนตรี ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยนายกรัฐมนตรี ต้องบริหารสถานการณ์ที่ท้าทาย-เร่งด่วน 3 เรื่อง และจะเรียบเรียงแถลงพร้อมกับการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา คือ 1. ต้องมีประเด็นตอบสนองฐานเสียงที่เลือกตั้ง และให้เสียงให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้เป็นนากยกรัฐมนตรี
2.โฟกัสสร้างผลงานด้านเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน ให้เกิดขึ้นจริงภายใน 3-6 เดือน เน้นทำเรื่องระยะสั้นแต่ได้ผลรูปธรรม ปรุงแบบ “สดร้อน”
3.ต้องแสดงให้เห็นว่าการมี “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรี มีศักยภาพทำให้ประเทศนิ่ง และประชาชนมีความอุ่นใจ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี จะประกาศเรื่อง “เร่งด่วน” พร้อม “Action plan” อย่างเป็นรูปธรรม ในรัฐสภาเร็วๆ นี้
การขับเคลื่อนบทบาททุกจังหวะก้าวของนายกรัฐมนตรี-หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คาดหวังไปถึงการกวาดคะแนนเสียง ในการ “เลือกตั้งท้องถิ่น” ทั่วประเทศ และการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในระยะอันใกล้ด้วย
แหล่งข่าวจากทีมที่ปรึกษาอีกรายระบุว่า มีการเตรียมการเพื่อปรับลุค-เปลี่ยนสไตล์ “พล.อ.ประยุทธ์” ในเวทีต่างประเทศด้วย โดยจะเริ่มจากเวทีที่ประเทศไทยทำหน้าที่เป็นประธานอาเซียน มีบทบาทสำคัญในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 34 ระหว่างวันที่ 20 – 23 มิ.ย. 2562 ที่กรุงเทพฯ
จากนั้น จะขึ้นเวทีประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2562 โดยจะใช้ 2 เวทีนี้ “พลิกบทบาทให้นานาชาติ มีความเชื่อมั่นต่อผู้นำประเทศไทย ด้วยการนำเสนอประเด็นที่ชัดเจน เห็นผลมาแล้ว และโรดแมปประเทศในช่วงต่อไป พร้อมชี้ให้เห็นถึงการเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่ ที่เข้มแข็ง จากนี้ไปจะได้เห็นนายกรัฐมนตรีลุคใหม่ ที่ไม่ใช่นายกฯทหารเหมือนที่ผ่านมา”
“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีจังหวะก้าวทางการเมืองที่นับวันจะแม่นยำ-แหลมคม อยู่ในระดับเท่า ๆ หรือเก๋ามากกว่านักการเมืองอาชีพ
การอยู่ครบเทอม คือเป้าหมาย !!!