ปิยบุตร : การเมืองรู้หน้า ไม่รู้ใจ เพลี่ยงพล้ำ เพราะกล้าชน คิดการณ์ใหญ่

สัมภาษณ์พิเศษ

“ปิยบุตร แสงกนกกุล” หมดบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกับพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) หลังศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรค  ประหารชีวิตทางการเมือง เขา พี่น้อง และผองเพื่อนอดีต อนค.ตัดสินใจแยกกันเดิน-ร่วมกันตี เพื่อรักษาอุดมการณ์ แนวทาง อนค.เอาไว้ทางหนึ่ง “ปิยบุตร” และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรค บวกกรรมการบริหารพรรค เดินนอกสภาภายใต้ “คณะอนาคตใหม่”

อีกทางหนึ่ง ส.ส.อดีตอนาคตใหม่ ที่ยังไปต่อในสภา 55 ชีวิต จะไปสวมวิญญาณในร่างใหม่พร้อมกันเขาหลบไปเลียแผลใจเกือบอาทิตย์ หลังถูกมรสุมยุบพรรค มี ส.ส.แปลงร่างเป็นงูเห่ารวดเดียว 10 ตัว บวกกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแทงข้างหลังช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อ “ปิยบุตร” ดึงตัวเองมาเผชิญโลกการเมืองอีกครั้ง “ประชาชาติธุรกิจ” จึงบันทึกบทสนทนา “ภารกิจประวัติศาสตร์” ที่เขาเดินหน้าต่อ

55 ส.ส.ยังไปต่อในพรรคใหม่

มั่นใจว่า ส.ส.ของพรรค 55 คนไปทั้งหมด เพียงแต่ ส.ส.บางคนตั้งคำถามว่า พรรคใหม่จะเดินตามแนวทางเดิมของ อนค.หรือไม่ เขาให้ยืนยัน เช่น เรื่องปฏิรูปกองทัพ ทลายทุนผูกขาด กระจายการถือครองที่ดินเหมือนเดิม

ส.ส.หายไปมากกว่าที่คิด ทราบดีว่ามีปัญหาเช่น อยู่ที่นี่ (อนค.) ทำงานทำพื้นที่ลำบาก ด้วยสาเหตุที่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ส่วนพรรคอื่นได้เป็นรัฐบาลมีปัจจัยช่วยเหลือทำพื้นที่ได้ง่ายกว่า กับเงินที่พรรคเข้าไปช่วย ซึ่ง อนค.ไม่มีให้

เหตุผลที่บอกว่าต้องเป็นพรรครัฐบาลถึงทำพื้นที่ได้ เป็นความคิดที่ผิด ไม่เช่นนั้นทุกพรรคต้องเป็นรัฐบาล ส่วน อนค.ไม่มีเงินสนับสนุน ส.ส.ยืนยันว่าจริง แถมเก็บเงินบริจาคเข้าพรรคด้วยเดือนละหมื่น เพราะเราต้องการสร้างให้เป็นพรรคของมวลชน

พอเราเจอปัญหาพรรคอื่นมีการจ่ายเดือนละ 2 แสน ก็ต้องตั้งคำถามว่า เอาเงินมาจากไหน วันหน้าเขาจะเอาคืนไหม ดังนั้นถ้าใครออกจากพรรคไป ไม่ไปต่อกับ อนค. ด้วยเหตุผล 2 ข้อ ก็โอเค…จากกันด้วยดี สิ่งที่เสียใจมีเพียงว่า วันที่เข้ามาในพรรควันแรก บอกยึดมั่นอุดมการณ์ ต่อต้านการรัฐประหาร สืบทอดอำนาจ สุดท้ายไปอยู่กับพรรครัฐบาลที่อยู่กับคุณประยุทธ์

สานต่อภารกิจประวัติศาสตร์

ส่วน 55 ส.ส.จะยืนอยู่กับพรรคใหม่อีกนานหรือไม่

“ปิยบุตร” ตอบในฐานะ “คนนอกพรรค” ว่า ไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอนาคต เป็นเรื่องคนในพรรคใหม่ที่จะบริหารจัดการ ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ ความสำคัญครั้งนี้ไม่ใช่ อนค.ถูกยุบ พรรคใหม่จะเหลือกี่คน แต่นี่คือเกมใหญ่ทั้งหมดที่เราจะสู้กับวัฒนธรรมการเมืองแบบเดิมภายใต้ระบบอุปถัมภ์ ภายใต้ระบบเครือข่าย ภายใต้ระบบผลประโยชน์ ไม่มีความจริงจัง จริงใจต่อกัน เปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา

“วัฒนธรรมการเมืองแบบนี้ที่เราไม่อยากได้ไม่ใช่หรือ แล้วเป็นข้ออ้างที่ทหารชอบใช้ประจำว่า นักการเมืองไม่ดี เมื่อภาพใหญ่สู้ไม่ได้ ประชาชนก็เสียความเชื่อมั่นว่า ส.ส.ก็เป็นแบบนี้ สมน้ำหน้าแล้วที่ให้ทหารยึดอำนาจ ภาพใหญ่เสียหมด”

รู้หน้า ไม่รู้ใจ บทเรียน “งูเห่า”

“ปิยบุตร” ถอดบทเรียนที่ได้จาก ส.ส.ที่ย้ายไปพรรคร่วมรัฐบาลรอบล่าสุด 10 คน ว่า “รู้หน้า ไม่รู้ใจ”

“การเมืองไทยในท้ายที่สุดมีการหักหลังกันได้ตลอด พอพูดแบบนี้ หลายคนบอกว่าการเมืองก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว อาจารย์เพิ่งเข้ามาใหม่ก็เพิ่งเห็น ผมก็รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ แต่ผมคิดว่าเราทำแบบนี้มันน่าจะไม่เกิด อย่างน้อยที่สุดกล้าพูดกับผมก็ได้ นี่ไปไม่เคยพูดกับผมเลย ไม่มีใครมาลาผมสักคน”

“งูเห่า” ต้องนึกถึงบุญคุณประชาชน

เมื่อไม่มี “ปิยบุตร-ธนาธร” เป็นหัวหอก แต่มีชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นำพรรคใหม่แทน เป็นเหตุผลให้ ส.ส.ย้ายพรรคหรือไม่

“ปิยบุตร” แย้งว่า ถ้าคิดแบบนี้ไปอยู่พรรคร่วมรัฐบาลทำไม ก็เราเริ่มต้นด้วยการลงสัตยาบันที่เซ็นกันมา ซาบซึ้ง ปลื้มปีติดีใจว่าเราจะร่วมกันต่อสู้ ผมยังติดฝาบ้านไว้อยู่เลย

ถามกลับว่า ในสัตยาบันอยู่ในยุค “ธนาธร-ปิยบุตร” เมื่อมีหัวหอกใหม่ที่ไม่สามารถเข้ากับ ส.ส.ได้ อาจทำให้ ส.ส.ทิ้งพรรค มีแนวโน้มที่จะไปอีก ?

ปิยบุตรตอบว่า “ถ้าใช้เหตุผลนี้ย้ายไปภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาล แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านมีเยอะแยะ แล้วถ้าคิดว่าธนาธร ผม ไม่อยู่ แต่ตอนที่เราเริ่มต้นพรรคด้วยกัน ไม่รู้จักผม ไม่รู้จักธนาธรนะ เราเติบโตมาด้วยกัน ถ้ามันต้องไปที่ใหม่กันจริง ๆ ก็เริ่มต้นกันใหม่ แต่ถ้าในท้ายที่สุดกระโดดหนีกันหมด แล้วที่เราพูดกัน
ตอนเริ่มต้นว่าจะทำสิ่งไหน อย่างไร ทั้งหมดนี้คืออะไร”

“และคุณ คือ ผู้แทนราษฎร การตัดสินใจใด ๆ ต้องคิดถึงประชาชนที่เลือกเข้ามา ไม่ใช่คิดถึงประโยชน์ส่วนตัวว่าไปแล้วจะได้อะไร ไปแล้วจะรอด อยู่ที่เดิมแล้วฉันจะไม่รอด แต่มันต้องคิดถึงคะแนนที่ประชาชนเลือก”

ผู้มีอำนาจขอให้ทิ้งการเมือง

ทิศทาง อนค.ในช่วง 2 ปี ถูกมองว่า “ท้าชน” ทุกโครงสร้างอำนาจจึงมีผลให้ถูกยุบพรรค

“ปิยบุตร” เผยว่า “ก็ไม่รู้ว่าชนชั้นนำไม่ไว้วางใจอะไร หลังจากพรรคโดนยุบไปนั่งคิดอยู่ว่ากลุ่มชนชั้นที่มีอำนาจตอนนี้ไม่สบายใจธนาธรกับผมหรือไม่สบายใจกับ อนค.หรืออะไร ถ้าบอกว่าไม่อยากให้ผมกับธนาธรไม่อยากให้ผมอยู่ในการเมือง ถ้าแบบนี้ก็ต้องบอกกันตรงๆ ก็มีการบอกกันตรงๆ มาแล้ว หลังเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 ใหม่ๆ ส่งคนมาบอกให้ผมกับธนาธรพัก 5 ปี ออกจาก ส.ส.

“สัปดาห์หลังยุบพรรคผมเลยไปนั่งคิดย้อนกลับว่า เอ๊ะ เขาไม่สบายใจธนาธรกับผม หรือ ไม่สบายใจทั้งพรรคเลย”

“จริงๆ หลังเลือกตั้งเขาต้องการให้ผมทั้งคู่หายไปจากการเมืองไทยเลย เขาใช้คำว่า vacancy อยู่ต่างประเทศ 5 ปี และคนที่พูดเขาก็มีความปรารถนาดี เขาเห็นถึงความจำเป็นว่าประเทศไทยวันข้างหน้าต้องมีคลื่นลูกใหม่ แต่เวลานี้อย่าเพิ่ง หลายคนบอกผมว่าเสียดายธนาธรกับผม เก็บไว้ทำประโยชน์ช่วงถัดไป แต่เราก็เดินหน้า ถ้าผมตกลงตั้งแต่วันนั้น ผมจะไปมองหน้าประชาชนที่ผมเลือกมาได้อย่างไร มองหน้า ส.ส.ที่มาอยู่กับเรา คนที่สนับสนุนพรรคได้อย่างไร มันเป็นเรื่องทั้งพรรค”

ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ

เมื่อการต่อสู้ยกแรกเพลี่ยงพล้ำ ทำให้ถูกยุบพรรค ถ้าจะสู้ยก 2 ด้วยการ “ตั้งพรรคใหม่” ทำอย่างไรจะไม่ซ้ำรอย

“ปิยบุตร” ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เพลี่ยงพล้ำในเรื่องกฎหมาย…ผมคิดว่าไม่ ยืนยันชัดเจนว่าการกู้เงินสามารถทำได้ อ่านกฎหมายกี่ทีก็ทำได้หมด”

“แต่ถ้าหากเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง เพราะเราตรงเกินไป ชนเกินไป คิดว่าการเมืองไทยอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องมีพรรคที่กล้าพูดอะไรออกมา เราไม่มีพรรคที่กล้าพูดตรง ๆ ว่า โครงสร้างประเทศนี้อยู่ตรงไหน จะได้หาทางแก้ไข เป็นสาเหตุที่ผมกับธนาธรมาตั้งพรรค”

“การยุบพรรคการเมืองตลอด 13 ปี แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เป็นเครื่องมืออันหนึ่งในการจัดการศัตรูทางการเมือง เวลามีเทศกาลยุบพรรคเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่เคยมีใครคิดเรื่องกฎหมาย ทุกคนประเมินอย่างเดียวว่ายุบ หรือไม่ยุบ ซึ่งผมอยากให้ history เรื่องการยุบพรรคจบลงเสียที การยุบพรรคควรเกิดขึ้นด้วยเหตุสำคัญจริง ๆ ไม่ใช่ยุบกันแบบนี้”

บทเรียนที่พรรคใหม่ไม่ควรทำต่อ

“ปิยบุตร” สรุปบทเรียน 9 เดือนของ อนค.ในสภา ที่เขาแนะนำว่า พรรคใหม่ควร-ไม่ควรทำต่อ มีอยู่ 4 ข้อ

1. เราคิดใหญ่ คิดเร็ว โตเร็ว สถานการณ์ไปเร็ว เริ่มตั้งแต่วันแรกอยากให้เป็นพรรคใหญ่ เต็มสูบ หวังเดินระยะยาว แต่เมื่อเจอสภาพความเป็นจริงของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง มันยากมากที่จะทำพรรคการเมือง ซึ่งได้ถ่ายทอดประสบการณ์ให้กับเพื่อนที่จะไปทำพรรคต่อ ให้คิดช้าลง คิดเล็กลง อย่าเพิ่งโตเร็ว แก้ปัญหาทีละเปลาะเฉพาะหน้า

2. เราไม่มีโอกาสคัดเลือกผู้สมัครได้มาก มีเวลา 1 เดือน มีคนบอกว่าหาผู้สมัครอย่างไรถึงมีแต่งูเห่าเต็มไปหมด ผมก็ยืนยันกลับไปว่ามีเวลาหาเพียง 1 เดือนเท่านั้น แล้วตั้งโจทย์ว่าเอาคนหน้าใหม่หมด ไม่เอาตระกูลการเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้คนใหม่ ๆ

3. ต้องเริ่มจัดตั้งความคิดกัน ตอน อนค. ผมไม่มีเวลาทำงานกับสมาชิกพรรค เหมือนตอนที่ผมตั้งใจที่จะทำ อนค.ให้มี career path เริ่มต้นเข้าไปจังหวัด เติบโตทำงานท้องถิ่น เป็น ส.ส.

4. วัฒนธรรมการเมืองไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย ผลัดกันภายในพรรคเพียงพอว่า คนไหนแพ้ก็สามารถร่วมงานกันต่อ คนแพ้ก็อยู่ในพรรคเพื่อสู้กัน แต่ที่ผ่านมาแพ้ไม่พอใจ ยกพวกออก เลือกใช้วิธีโพสต์เฟซบุ๊กด่าข้างนอก

ประชาชนฝากความหวัง-เลิกไม่ได้

หลังผ่านมรสุมยุบพรรค-อภิปรายไม่ไว้วางใจ เขาหลบไปพักร้อน-พักใจช่วงสั้น ๆ เมื่อถาม “ปิยบุตร” หลังถูกยุบพรรค ตัดสิทธิ พรรคร่วมฝ่ายค้านหักหลังกันซึ่งหน้า จะฟื้นความรู้สึกอย่างไรและไปต่อแบบไหน

เขาตอบว่า “ผมเป็นมนุษย์ปุถุชน ผมต้องเก็บอารมณ์ต่าง ๆ ไว้และต้องยืนหยัดให้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมยืนยันว่าต้องไปต่อ แม้มีความผิดหวัง เสียใจ ก็เพราะว่าประชาชนฝากความหวังกับเราไว้เยอะ”

“ผมกับธนาธรไม่ใช่วีรบุรุษที่จะทำอะไรได้ทุกอย่างหรอกนะ แต่สำหรับเยาวชนที่มาสนใจการเมือง เขาเริ่มจากพวกเรา และถ้าวันหนึ่งผมถอนสมอกันหมด ความหวังของเขาตรงนี้อาจจะหายไปด้วย เพราะเราแบกตรงนี้ไว้แล้ว เห็นนิสิตนักศึกษาที่อยู่ในความเสี่ยงภัย ยังออกมาชุมนุมกันเต็มไปหมด แล้วผมจะไปบอกว่า น้อง ๆ ทำกันต่อนะ พี่ขอกลับบ้านนอน…ก็ไม่ได้”

“อย่างน้อยผมก็ต้องอยู่เป็นหลักความคิดอะไรบ้าง แม้ไม่ได้เข้าไปยุ่งกับการชุมนุม แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่า ผมไม่ได้กลับบ้าน…เลิก”

“ถ้าผมกับธนาธรหยุด ก็หมายความว่าผมแพ้ วิธีการที่เขาเลือกใช้สำเร็จอีกแล้ว จึงต้องยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อ เชื่อว่าสิ่งที่ผมกับธนาธรทำเป็นความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง หวังอยู่ทุกวันว่าผู้มีอำนาจในปัจจุบันจะมองเห็นตรงนี้แล้วเดินหน้าหาทางออกด้วยกัน ใช้วิธีการแบบเดิมแก้ปัญหาไม่ได้”

บทบาทของ “คณะอนาคตใหม่” ยังทำงานทางความคิด ไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อล้มล้างรัฐบาลประยุทธ์ แต่รณรงค์เรื่องกระจายอำนาจ ทลายทุนผูกขาด รัฐสวัสดิการ ยกเลิกการเกณฑ์ทหารภาคบังคับ ปฏิรูปกองทัพ แก้รัฐธรรมนูญ

จัดการธนาธร-ปิยบุตรยิ่งสุมไฟ

แม้จะมีคดีตามหลัง ทั้งคดีหุ้นวีลัค ทั้งคดีเงินกู้ และในอดีตคนที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทำอย่างไรไม่ให้หนังม้วนนี้กลับมาฉายอีกเหมือนหนังยุบพรรค

เขากล่าวว่า “พยายามสื่อสารทุกวันว่า วิธีการขับไล่คนที่มีความคิดก้าวหน้า อยากเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น ขับไปจากการเมือง หรือขับไปต่างประเทศเลย ไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้อง ประเทศที่จะก้าวหน้าต่อไปได้ ต้องเก็บคนที่มีความคิดใหม่ ๆ ทำงานให้ประเทศ ถ้าไล่ออกหมดอันนี้มันทำลายอนาคตประเทศ”

ถามย้ำว่า ไม่ว่าถูกบีบอย่างไรก็ไม่ไปอยู่ต่างประเทศ ?

“ปิยบุตร” กล่าวว่า “ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้ชัดเจน เพราะผมไม่รู้ว่าท้ายที่สุด เขาจะเดินหน้ากันถึงขนาดไหน ผมยังเชื่อมั่นอยู่ว่าคนที่มีอำนาจในปัจจุบันมีสายตากว้างไกล มีวิสัยทัศน์พอสมควร”

“ถ้าหากใช้วิธีการจัดการผมหรือธนาธร ไฟที่กำลังลามทุ่งตอนนี้ยิ่งสุมไปอีก ไม่น่าจะคิดสั้นขนาดนั้น”

คิดว่าประเมินชนชั้นนำไม่ผิดใช่ไหม ?

ปิยบุตรตอบว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”