มติชน ยืนยันบริสุทธิ์ น้อมรับการตรวจสอบ ป.ป.ช. สู้คดีรักษาเกียรติภูมิ

ป.ป.ช. ชี้มูล “ยิ่งลักษณ์-นิวัฒน์ธำรง-สุรนันทน์” จัดอีเวนต์ ในโครงการ 2 ล้านล้าน Thailand 2020

วันที่ 22 กรกฎาคม 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีการชี้มูลความผิดกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก กรณีเมื่อปี 2556 อนุมัติและดำเนิน “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยมิชอบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยในนโยบายข้อ 3.4 ได้กล่าวถึงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งทางราง ระบบรถไฟทางคู่เชื่อมชานเมืองและหัวเมือง ศึกษาและพัฒนารถไฟความเร็วสูง

ต่อมาเมื่อเดือนมกราคม 2556 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ หรือที่เรียกว่า “ร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท” และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งประเทศเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท และเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการ จัดนิทรรศการ สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน โดยให้นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจนครบถ้วน ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้ดำเนินโครงการจัดนิทรรศการไปแล้วทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดพิษณุโลก

ต่อมานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีดำริให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดนิทรรศการ การสัมมนา และการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศให้แก่สาธารณชนทราบอีก ภายใต้ชื่อ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2556 นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ก็ได้เรียกประชุม เพื่อเตรียมการจัด Roadshow โดยมีนายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการทั่วไป บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และตัวแทนบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เข้าพบนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ที่ห้องทำงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบและตกลงเป็นผู้รับจัดงาน Roadshow ทั้งสิ้น 12 จังหวัด ทั่วประเทศ จังหวัดละ 20 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 240 ล้านบาท โดยมีบริษัท มติชนฯ เป็นแม่งานหลักในการคิดรูปแบบการจัดงาน

ทั้งที่ยังไม่มีกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบ และเมื่อตรวจสอบงบประมาณประจำปี 2556 ก็ไม่ได้ระบุแผนงาน/โครงการดังกล่าวไว้ ประกอบกับงบประมาณประจำปี 2557 ประกาศใช้ไม่ทันวันที่ 1 ตุลาคม 2556 แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ได้อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น วงเงิน 40 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ Roadshow และเห็นชอบให้จัดโครงการใน 2 จังหวัดก่อน ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดนครราชสีมา ทั้งที่สถานการณ์ในขณะนั้นมีหลายฝ่ายออกมาทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท อาจขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหลายประการ และมีการเตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เช่น ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ผู้นำฝ่ายค้านและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคฝ่ายค้าน เป็นต้น อีกทั้งการจัดงานดังกล่าวยังซ้ำซ้อนกับงานนิทรรศการที่กระทรวงคมนาคมได้จัดไปก่อนแล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดว่า หากไม่ดำเนินการโครงการ Roadshow ในขณะนั้นแล้วทางราชการหรือประชาชนจะได้รับความเสียหายแต่อย่างใด สถานการณ์ในขณะนั้นจึงยังไม่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะออกไป Roadshow ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่บริษัท มติชนฯ ได้เข้าพบผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นเอกสารข้อเสนอด้านราคา วงเงิน 40 ล้านบาท แต่เนื่องจากสำนักงบประมาณยังไม่ได้แจ้งใบงวด ทำให้ยังไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ จึงได้มีการนัดหมายให้บริษัท มติชนฯ มายื่นเสนอราคาใหม่ โดยในวันดังกล่าวเจ้าหน้าที่บริษัท มติชนฯ ได้มอบเอกสารข้อเสนอด้านราคาวงเงิน 40 ล้านบาท ไว้ให้กับผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง

ต่อมา นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบราคากลางโครงการ Roadshow จังหวัดหนองคายและจังหวัดนครราชสีมา ในวงเงิน 40 ล้านบาท ซึ่งตรงกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัท มติชนฯ ที่ได้ยื่นไว้ ต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางและได้มีการสืบราคาเพิ่มเติมจากสื่อ จำนวน 3 ราย แต่เป็นสื่อในเครือเดียวกับ บริษัท มติชนฯ ทั้งสิ้น และในวันเดียวกันบริษัท มติชนฯ ได้ยื่นเอกสารเสนอราคา ซึ่งนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ก็เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้าง บริษัท มติชนฯ เป็นผู้รับจ้างจัดโครงการ Roadshow 2 จังหวัดดังกล่าว และมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลางลงนามในหนังสือสั่งจ้างต่อไป โดยกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียง 2 วัน เท่านั้น

ต่อมา นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันอนุมัติหลักการจัดโครงการ Roadshow อีก 10 จังหวัดที่เหลือ วงเงิน 200 ล้านบา โดยครั้งนี้ นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ได้อนุมัติให้นำราคากลางที่ได้กำหนดตรงกับข้อเสนอด้านราคาของบริษัท มติชนฯ ไว้แล้ว มาเป็นราคากลางในครั้งนี้ โดยแบ่งการจัดจ้างเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 5 จังหวัด โดยตกลงแบ่งงานให้บริษัท มติชนฯ และบริษัท สยามสปอร์ตฯ บริษัทละ 5 จังหวัด โดยในส่วนของบริษัทสยามสปอร์ตฯ มีนายระวิ โหลทอง ลงนามยื่นเอกสารการเสนอราคาด้วยตนเอง ซึ่งนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ และนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล

เห็นสมควรอนุมัติจัดจ้างทั้งสองบริษัทดังกล่าว ซึ่งกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนการลงนามในหนังสือสั่งจ้างใช้เวลาดำเนินการเพียงวันเดียวเท่านั้น โดยครั้งนี้ได้เบิกจ่ายจากงบประมาณประจำปี 2557 ค่าใช้จ่ายในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่พบว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างได้กระทำไปก่อนที่ได้รับเงินประจำงวดจากสำนักงบประมาณ ทั้งที่ส่วนราชการทราบดีว่าการลงนามในหนังสือสั่งจ้างได้ ก็ต่อเมื่อสำนักงบประมาณได้แจ้งจัดสรรเงินงบประมาณมาให้แล้วเท่านั้น (ใบงวด) ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502

ต่อมาได้มีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งในท้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้มี คำวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ. สองล้านล้านบาท ตราขึ้นโดยมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญมีผลให้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นอันตกไป ส่งผลให้โครงการต่าง ๆ ตามที่ได้ออกไป Roadshow มิได้เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด การใช้งบประมาณ ในโครงการ Roadshow จำนวน 240 ล้านบาท จึงเกิดความสูญเปล่า เป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหาย

คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนแล้ว มีมติดังนี้ 1.การกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และ 13

2.การกระทำของบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายฐากูร บุนปาน บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และนายระวิ โหลทอง มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2554 มาตรา 123/1 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ.2561 มาตรา 192 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงาน ของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 4 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับ การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 12 และมาตรา 13 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นพร้อมสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) นายฐากูร บุนปาน บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) และนายระวิ โหลทอง

นายฐากูร บุนปาน รองประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การดำเนินการตามโครงการดังกล่าวเป็นไปโดยบริสุทธิ์ ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของราชการ เช่นเดียวกับการดำเนินการอื่นๆ ตามหลักการที่ยึดถือของบริษัทมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป้นช่วงเวลาของรัฐบาลใด

นอกจากนั้นแล้ว โครงการดังกล่าวยังได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ซึ่งมีตัวแทนของ ป.ป.ช. และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ร่วมอยู่ด้วย ตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 และใช้เวลาไต่สวนกว่า 18 เดือน และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้อนุมัติให้จ่ายเงินค่าจ้างที่ค้างอยู่ในปี 2559

ทั้งนี้ ในชั้นไต่สวน บริษัทได้ขอชี้แจงในประเด็นดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่ได้รับโอกาสจาก ป.ป.ช. อย่างไรก็ดี บริษัทน้อมรับการตรวจสอบ และแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการต่อไป รวมทั้งขอสงวนสิทธิ์ในทางกฎหมายที่จะปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิของตนเองด้วย

ด้านนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เปิดเผยในวันนี้ว่า ตามที่คณะกรรมการ ปปช.ได้แถลงกรณีการดำเนินการจัดนิทรรศการ การสัมมนาและการโฆษณาประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศให้แก่สาธารณชนทราบ ภายใต้ชื่อ “โครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020” โดยมิชอบ โดยมีผมซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในช่วงวันเวลาดังกล่าว เป็นผู้หนึ่งที่ถูกชี้มูลความผิด เป็นผู้ถูกกล่าวหาโดย คณะกรรมการปปช. ด้วย นั้น

“ผมขอยืนยันว่าการดำเนินการใดๆ ในตำแหน่งหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยความระมัดระวัง อย่างรอบคอบ ยึดถือกฎหมายและระเบียบ รวมถึงนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นและคำนึงถึง ประโยชน์ของรัฐและประชาชน เป็นที่ตั้ง”

“การปฏิบัติหน้าที่ ของผม ในส่วนที่เกี่ยวกับขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ผมได้ยึดถือ และปฏิบัติตาม ระเบียบและกฎหมาย อย่างเคร่งครัด ทุกประการ”

“ภายหลังที่ผมพ้นจากตำแหน่งแล้วได้มีการตราวจสอบจากคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีข้อสรุปว่าการจัดจ้างดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020 ถูกต้อง เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ และได้อนุมัติเบิกจ่ายงบประมาณตามโครงการดังกล่าว โดยไม่มีหน่วยงานใดทักท้วง”

“ณ ปัจจุบันนี้ ผมมีสถานะเป็นผู้ถูกกล่าวหา ซึ่ง ตามวรรคสองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 บัญญัติให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด เพราะจะต้องมีการพิสูจน์ ความถูกผิดกันในขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป”

“จึงขออนุญาตเรียนข้อเท็จจริง ดังกล่าว ให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ทั้งนี้ผมเชื่อมั่นว่า กระบวนการยุติธรรมขั้นต่อไป ทั้งสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการทางศาล จะให้ความเป็นธรรมและประสาธน์ความยุติธรรมแก่ผมและผู้ที่ถูกกล่าวหาท่านอื่นด้วย อย่างแน่นอน”