
ด้วยความที่ “พ่อ” เป็นชาวนา จ.นครศรีธรรมราช ไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่อยากให้ลูกๆ ได้เรียนหนังสือสูงๆ เพราะเกิดจากปมในวัยเด็กที่จบแค่ ป.4
“สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ในฐานะลูกจึงต้องบากบั่นร่ำเรียนวิชา หาความรู้ สอบชิงทุนเพื่อให้ได้เรียนฟรีตั้งแต่เล็กๆ
พอเข้าสู่มัธยมปลาย “สมชาย” ก็บ่ายหน้ามุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ เข้าร่วม “อำนวยศิลป์คอนเน็กชั่น” ก่อนจะสอบติดทั้ง รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ คณะเกษตร ม.เกษตรศาสตร์
แต่เป็นเพราะคำของ “พี่ชาย” อยากให้เรียน “นิติศาสตร์” เหตุผลว่าพี่ก็จบนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ใช้หนังสือต่อจากพี่ ไม่เปลืองสตางค์… “สมชาย” จึงเห็นด้วยกับพี่ทันที ทั้งที่ใจอยากเรียนรัฐศาสตร์ เพราะเห็นปลัดอำเภอ – นายอำเภอ แล้วโก้จริงๆ
“สมชาย” เรียนจบ 4 ปี ตามเกณฑ์ เป้าหมายอยากสอบข้าราชการให้ได้ เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว แม้ได้สอบที่ 1 กรมราชทัณฑ์ แต่ไม่ได้บรรจุ เพราะกรมชิงบรรจุลูกจ้างไปก่อน
ฝันว่าอยากมีดาวบนบ่า สวมเครื่องแบบตำรวจ เพราะผู้บังคับบัญชาของพี่ชายจะฝากฝังให้ แต่ก็ “ชวด” เพราะพี่อยากให้เรียนเนติบัณฑิต
ช่วงที่ “เรียนเนฯ” เขาได้เป็นทั้งพนักงานแบงก์ และทำบริษัทประกัน แต่ทำอย่างละครึ่งเดือนก็ต้องออกเพราะมันไม่ใช่ทาง..
เมื่อจบเนฯ จึงสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา และบังเอิญสอบได้ พลันที่อบรมจบ 1 ปี มีคำสั่งให้ไปเป็นผู้พิพากษาที่ จ.ศรีสะเกษ แต่มีเพื่อนผู้พิพากษามา “ขอแลก” ให้อยู่เชียงใหม่ “สมชาย” ปฏิเสธหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ยอมไปเป็นผู้พิพากษาที่ จ.เชียงใหม่ เหมือนชะตาลิขิตไว้
“ผมย้ายไปพร้อมกับเพื่อนๆ หลายคน แต่คนอื่นๆ ไปอยู่ศาลจังหวัด มีผมคนเดียวที่อยู่ศาลแขวง ผมไปเช่าบ้านอยู่ในย่านสี่แยกรินคำซึ่งค่อนข้างไกลกับศาลพอสมควร เพราะผมไม่มีรถส่วนตัว แต่ก็ไม่ลำบากเพราะมีรถโดยสารผ่านอยู่แล้ว บางวันหลังเลิกงานผมเดินกลับบ้าน เพราะถึงจะนั่งรถเร็วกว่าแต่ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร”
“ในเวลานั้นปัญหาก็มีอยู่บ้าง เช่น ผมไม่คุ้นเคยกับอาหารทางภาคเหนือ การสื่อสาร แม้แต่การสืบพยานในศาลก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะส่วนมากพยานพูดภาษาภาคกลางไม่ค่อยได้ บางครั้งผมแอบคิดว่าไม่น่าแลกกับเพื่อนเลย เพาะรู้สึกว่าชีวิตผมเงียบเหงามาก”
“สมชาย” อยู่เชียงใหม่ครบ 1 ปี ตัดสินใจทำเรื่องขอย้าย แต่…บังเอิญเจอ “นางฟ้า” จึงเปลี่ยนใจ
“หลังเลิกงานวันหนึ่ง ผมแวะไปเดินเล่นที่ตลาดประตูเชียงใหม่ ขากลับต้องเดินผ่านบ้านท่านประเสริฐ (จันทรเวช รุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัย ผู้พิพากษาที่ย้ายมาพร้อมกัน) ท่านเห็นผมก็เรียกให้เข้าบ้านเพราะอยากแนะนำให้รู้จักท่านเยาวลักษณ์ ชินวัตร เทศมนตรีเทศบาลนครเชียงใหม่”
“หลังจากวันนั้นผมได้มีโอกาสพบท่านเยาวลักษณ์อยู่บ้างบางครั้งก็ชวนไปทานอาหาร ท่านรู้ว่าผมไม่มีรถก็มารับ กระทั่งเริ่มจะคุ้นเคยกัน ผมรู้จักท่านเยาวลักษณ์อยู่ราว 2-3 เดือน วันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ผมจดจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างดี ท่านเยาวลักษณ์เชิญท่านประเสริฐกับผมไปทานอาหารที่บ้านแล้วชวนให้ไปร่วมงาน “ดาราบอลล์” งานของโรงเรียนดาราวิทยาลัย ที่ท่านเป็นศิษย์เก่าและประธานจัดงาน”
“ผมกับท่านประเสริฐร่วมโต๊ะเดียวกัน ผมนั่งติดกับผู้หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งแวบแรกที่ผมเห็นรู้สึกในทันทีว่าเธอเป็นคนสวยน่ารัก และเมื่อท่านเยาวลักษณ์แนะนำให้รู้จักว่าเธอคือน้องแดง เยาวภา ชินวัตร น้องสาวของท่าน ผมหันไปมองอีกครั้ง พร้อมทักทายกันตามมารยาท แต่ก็แอบรำพึงในใจว่า …”นางฟ้ามีจริงหรือนี่”… ฟังดูเหมือนเกินจริงไปหน่อย แต่ตอนนั้นความรู้สึกของผมเป็นเช่นนั้นจริงๆ”
งาน “ดาราบอลล์” วันนั้น เป็นการแข่งว่าใครได้ลูกโป่งมากที่สุดก็ชนะ “สมชาย” ไม่ค่อยมีสตางค์มากนัก แต่ก็ยอมควักเงินซื้อลูกโป่งให้ “น้องแดง” (วันนี้ทุกคนรู้จักในชื่อทางการเมืองว่า “เจ๊แดง”) หมดกระเป๋า โดยที่ไม่รู้สึกเสียดาย และแล้ว “น้องแดง” ก็ได้ตำแหน่ง
“เพราะมีท่านเยาวลักษณ์เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ แต่ไม่ใช่เพราะผม”
วันนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ – จุดเปลี่ยนชองชีวิต
“ผมยอมรับว่าประทับใจคุณแดงตั้งแต่แรกพบ แต่ก็เจียมตัวและเนื่องจากวันที่เจอกันครั้งแรกเป็นวันที่ผมทำเรื่องขอย้ายจากเชียงใหม่แล้ว คือวันที่ 20 พฤศจิกายน 2519 จำได้แม่นว่า ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกครั้งจะทำอย่างไร อีกใจก็คิดว่าไม่เป็นไรในเมื่อทำเรื่องขอย้ายแล้ว”
หลังจากงาน “ดาราบอลล์” สมชาย – เยาวภา เจอกันอีกประมาณ 3 ครั้ง ทำให้เขาลำบากใจมากขึ้น เมื่อถึงเวลานับถอยหลังย้ายจาก จ.เชียงใหม่ แต่เมื่อ “ความรัก” ชนะทุกสิ่ง “สมชาย” จึงจับรถมุ่งเข้ากรุงเทพฯ ขอให้ผู้บังคับบัญชาระงับเรื่องย้าย ขอเปลี่ยนจากย้ายข้ามจังหวัด มาย้ายจากศาลแขวงเข้ามาอยู่ในศาลจังหวัดเชียงใหม่แทน และความหวังก็เป็นจริง
นับแต่นั้น สมชาย – เยาวภา ก็เจอกันบ่อยขึ้น จนถึงวันที่ “น้องแดง” เรียนจบ แล้วสถาบันมีงานเลี้ยงจบการศึกษา ตามประเพณีนักเรียนพยาบาลที่เรียนจบจะ “ควงแฟน” ไปร่วมงานเลี้ยงด้วย ทว่าเหลือ เยาวภา คนเดียวที่ยังไม่มีแฟน จึงนัดแนะกับเพื่อนว่าจะยืมควงพี่ชายเพื่อนแทน ไม่ยอมควงหนุ่มผู้พิพากษา เพราะยังไม่เป็นแฟนกัน
แต่ในที่สุด “เยาวภา” ก็ยอมชวน “สมชาย” ไปร่วมงาน และทั้งคู่ก็ตกลงเป็นแฟน
และแต่งงานกันในเวลาต่อมา
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เอ่ยถึงพี่เขยว่า รู้สึกประทับใจมาก เป็นคนใต้แต่สามารถพูดภาษาเหนือได้ชัดเจนและคล่องมากจนแทบแยกไม่ออก เวลาสื่อสารกับครอบครัวเราท่านก็ใช้ภาษาเหนือสื่อสารกับน้องๆ ซึ่งช่วยลดช่องว่างและทำให้เกิดความคุ้นเคยกันได้ง่าย”
“เมื่อท่านได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแล้วก็สัมผัสได้ว่าท่านเป็นคนสบายๆ ใจเย็น ไม่ค่อยโมโหโกรธใคร แต่ขณะเดียวกันบุคลิกแบบนี้ก็ทำให้คนเกรงใจและให้เกียรติ”
“เมื่อพี่ทักษิณ (ชินวัตร) ไม่อยู่ ก็สามารถปรึกษาพี่สมชายได้ ซึ่งท่านก็อยู่กับครอบครัวเรามานาน ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุด ประกอบกับท่านเป็นกันเองกับทุกคน ทำให้เรารู้สึกสบายๆ กล้าพูด กล้าคุย กล้าปรึกษา และสนิทกันอย่างรวดเร็ว”
“สมชาย” คนใต้ได้เป็นลูกเขยเมืองเหนือ
ได้เป็นเขยแห่งตระกูล “ชินวัตร”
และได้เป็นนายกฯ ในโควตาพรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำพรรคเพื่อไทย พรรคที่เปรียบประหนึ่งว่ามีนามสกุล “ชินวัตร” เป็นเจ้าของ
เรียบเรียงจากหนังสือ “ชีวิต งาน การต่อสู้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ กว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26