กางบทสรุปแชมป์พรีเมียร์ลีก 2021-22 มองห้วงสำคัญชี้ชะตาทีมชูถ้วย

Photo by Paul ELLIS / AFP
ธนพงศ์ พุทธิวนิช : เรื่อง

ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2021-22 ปิดฉากลงอย่างลุ้นระทึกในส่วนบนของตารางที่ต้องตัดสินแชมป์กันจนถึงนัดสุดท้าย เป็นอีกครั้งที่ลีกลูกหนังแดนผู้ดีพิสูจน์ให้เห็นถึงความเข้มข้นเร้าใจ ยากจะหาบรรยากาศแบบนี้ในลีกอื่นของยุโรปในระดับเดียวกัน

และเป็นอีกครั้งที่การขับเคี่ยวแย่งหัวตารางมาจากการเบียดกันระหว่างลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 ยอดทีมซึ่งต่างอยู่ในยุครุ่งเรืองของตัวเอง หากมองดูที่คะแนนรวมของทั้ง 2 ทีมที่ล้วนแตะเลข 90 ต้น ๆ แฟนบอลส่วนใหญ่ที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษมายาวนานย่อมคิดว่า คะแนนหลัก 90 นี้เพียงพอต่อการคว้าแชมป์แล้ว

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลที่เก็บไปได้ 92 คะแนนในฤดูกาล 2021-22 โดยตลอดทั้งฤดูกาล หงส์แดงแพ้ในลีกแค่ 2 นัด แต่ยังพลาดแชมป์ให้กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ซึ่งได้คะแนนมากกว่าแค่ 1 แต้ม

ลองมาดูกันว่า มีอะไรที่เป็นปัจจัยสำคัญซึ่งส่งผลต่อการตัดสินแชมป์ในยุคที่เพดานมาตรฐานของพรีเมียร์ลีกยกระดับขึ้นไปมาก

Jurgen Klopp Photo by Glyn KIRK / AFP

ลิเวอร์พูล

เจอร์เกน คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันของหงส์แดงมองว่า ลิเวอร์พูลมีฤดูกาลที่ดีอีก 1 ปี เมื่อได้ชูแชมป์ฟุตบอลถ้วยรายการในประเทศอย่างเอฟเอคัพ และคาราบาวคัพ ขณะที่พวกเขาพลาดแชมป์ลีกและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อแพ้เรอัล มาดริด ในนัดชิงอีกครั้ง

เหล่า “เดอะค็อป” สาวกลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ไม่น่าจะเห็นต่างจากกุนซือรายนี้ พวกเขาเห็นทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครในลีกตลอดปี 2022 ทั้งฤดูกาลมีทีมที่เอาชนะหงส์แดงในลีกได้แค่ 2 ทีมคือ เวสต์แฮม และเลสเตอร์

หากจะวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อเส้นทางลุ้นแชมป์อย่างมีนัยสำคัญ แฟนบอลและสื่อกีฬาจำนวนไม่น้อยย้อนไปมองที่แต้มซึ่งตกหล่นไปตามเส้นทางอย่างน่าเสียดาย จากสถิติในลีกของลิเวอร์พูลที่เสมอไป 8 นัด มากกว่าทีมเรือใบสีฟ้าที่เสมอไป 6 นัดตลอดทั้งฤดูกาล

8 เกมที่หงส์แดงแบ่งแต้มจากคู่แข่งในฤดูกาลนี้ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือเกมกับเชลซี เมื่อต้นปี 2022 และไบรท์ตัน เมื่อปลายปี 2021 ลิเวอร์พูลออกนำคู่ต่อสู้ก่อน 2-0 ทั้ง 2 เกม แต่สกอร์หลังเสียงนกหวีดดังกลับมาจบที่ 2-2

อีก 1 ปัจจัยที่น่าคิดทีเดียวคือช่วงปลายปี 2021 ซึ่งหงส์แดงได้รับผลกระทบจากโรคระบาดจนกำลังพลอ่อนด้อยลง เกมหนึ่งที่เป็นตัวอย่างได้คือเกมที่ออกไปเยือนท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อธันวาคม 2021 และทีมลูกผสมไปเสมอกับไก่เดือยทอง 2-2

ความพร้อมของทีมเป็นหัวข้อที่น่าสนใจทีเดียว หากย้อนกลับไปดูสถิติช่วงต้นฤดูกาล ใน 11 นัดแรกของลีกฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลทำแต้มหล่นไป 5 คะแนน เกมที่เล่นในบ้านตัวเอง เสมอเชลซี 1-1 เสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ทั้ง 2 เกมนี้เป็นเกมใหญ่ที่พอเข้าใจได้ แต่ที่มีน้ำหนักมากกว่าคือเกมบุกไปแพ้เวสต์แฮม 2-3

ตัวเลขคะแนนรวมจากหลายฤดูกาลที่ผ่านมา ให้บทเรียนกับลิเวอร์พูลในการลุ้นแชมป์หลายครั้งแล้วว่า ทุกแต้มสำคัญเท่ากันหมด ในช่วงเปิดฤดูกาลที่เสียแต้มไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งในเกมเหย้าและเยือน ย้ำอีกหนว่า ช่วงเปิดฤดูกาลที่นักเตะ (ควร) มีสภาพสดใหม่

ทีมที่จะไปสู่เส้นทางลุ้นแชมป์ไม่อาจทำแต้มหลุดมือแบบไม่จำเป็น หรือหากพลาดแล้วก็ต้องเร่งทำแต้มคืนให้เร็ว เมื่อประกอบกับสถานการณ์ในช่วงกลางจนถึงปลายฤดูกาล ลิเวอร์พูลอยู่ในเส้นทางลุ้นทั้ง 4 แชมป์ ยิ่งทำให้บีบกดดันตัวเองด้วย

ลองคิดกลับกันว่าถ้าลิเวอร์พูลสามารถเก็บแต้มที่ควรเก็บได้สำเร็จ นั่นอาจโยนแรงกดดันไปให้ฝั่งแมนฯ ซิตี้ ต้องรับมือด้วย บรรยากาศและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปบ้าง มีผลต่อโอกาสลุ้นแชมป์บ้างไม่มากก็น้อย

Pep Guardiola Photo by Oli SCARFF / AFP

แมนเชสเตอร์ ซิตี้

มีคำกล่าวว่า “ผู้ชนะสามารถพูดหรืออธิบายความสำเร็จของตัวเองอย่างไรก็ได้” สำหรับคนที่ยึดถือประโยคนี้เป็นจริงเป็นจังอาจบอกได้ว่า มีเหตุผลมากมายที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นผู้ชนะในการเบียดแย่งแชมป์ระยะยาวกับลิเวอร์พูล มาจนถึงนัดสุดท้ายในลีก

เรือใบสีฟ้าไม่มี “กองหน้าอาชีพ” ตัวจริงด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขายังไม่ได้หาคนมาแทนที่ เซร์คิโอ กุน อเกวโร (มาได้เออร์ลิง ฮาลันด์ ศูนย์หน้าที่มาแรงสุดในยุโรปหลังได้แชมป์แล้ว) แต่ยังเป็นทีมที่ทำประตูในลีกได้มากสุด ยิงไปถึง 99 ประตูจาก 38 นัด เสีย 26 ประตูเท่ากับหงส์แดง

แมนฯ ซิตี้ แพ้ 3 นัด มากกว่าหงส์แดงอีกต่างหาก หนึ่งในนั้นมาจากเกมเปิดฤดูกาลเสียด้วย ช่วงเวลาหนึ่งที่เรือใบสีฟ้าเร่งเครื่องมาสู่เส้นทางแชมป์คือช่วงที่ชนะติดกัน 12 นัดรวด และเคยนำโด่ง ทิ้งระยะห่างจากลิเวอร์พูลถึง 13 คะแนน (แม้ว่าเรือใบจะแข่งมากกว่า)

ภายหลังเป๊ป วางรากฐานโครงสร้างทีมให้กับแมนฯ ซิตี้ลงตัวแล้ว ไม่มีใครกังขาในศักยภาพของทีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แฟนบอลเห็นผลงานอันยอดเยี่ยมในลีกของเรือใบสีฟ้ากันหมดแล้ว และยังคงรอคอยความสำเร็จจากรายการฟุตบอลถ้วยสโมสรยุโรปอยู่ ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่สื่อและนักวิจารณ์ท้วงติงเป๊ปบ่อยครั้ง คือเรื่องการวางแท็กติกแบบฝืนธรรมชาติไปบ้าง

สมัยที่ทำทีมบาเยิร์น มิวนิก แฟนบอลมักเห็นเป๊ปโยกผู้เล่นซึ่งถนัดในตำแหน่งหนึ่งมาเล่นอีกตำแหน่งหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องขาดตัวผู้เล่นหรือในเชิงแท็กติกก็ตาม บางผู้เล่นที่สลับตำแหน่งมีศักยภาพเพียงพอจะเล่นหลายตำแหน่ง โดยคุณภาพผลงานไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่บางคนเมื่อสลับแล้ว ทำผลงานกับตำแหน่งที่ถนัดรองลงมาด้อยกว่าตำแหน่งถนัด

เห็นได้ว่า ช่วงเวลาหนึ่งที่พวกเขาทำแบบนี้ ส่งผลกระทบต่อผลงานอยู่บ้าง ในเวลาเดียวกันเมื่อลิเวอร์พูลเร่งเครื่องขึ้นมา จากช่องว่างที่เคยห่างกันเป็นเลขหลักสิบ มาถึงปลายฤดูกาลช่องว่างนี้ขยับใกล้กัน จนมาห่างกันแค่แต้มเดียวจนถึงนัดสุดท้าย

ไม่มีแฟนบอลหรือผู้วิจารณ์คนไหนกังขาความยอดเยี่ยมของกุนซือชาวสเปนผู้นี้ ด้วยผลงานความสำเร็จระดับสูงที่ผ่านมา เป๊ปสามารถมั่นใจในตัวเองได้ สามารถทำให้คนอื่นเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเขาได้

แต่ก็เช่นเดียวกันกับมนุษย์ทั่วไป ยากจะมีคนที่ถูกต้องไปเสียทุกเรื่องโดยไม่ผิดพลาดเลย การตัดสินใจแบบคนที่มั่นใจในตัวเองมาก ๆ ก็มาถึงจุดที่พลาดได้เหมือนกัน

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เป๊ปยังพอรู้ตัวได้ทัน เลิกฝืนในจังหวะที่เหมาะที่ควร (แม้บางคนจะมองว่าสายไปบ้าง ไม่อย่างนั้นคงนำแต้มห่างแบบรวดเดียวจบไปแล้ว) แม้แต่มาถึงนัดสุดท้ายที่ต้องชนะเพื่อการันตี

และเมื่อทีมโดนนำ 0-2 เป๊ปก็ต้องปรับแนวทางจากการตัดสินใจเดิมมาสู่รูปแบบที่เข้ากับสถานการณ์มากกว่าจะฝืนไปตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น ซึ่งในลีกที่แข่งกัน 38 นัดยังมีเวลาให้ได้แก้ตัว

แต่สำหรับฟุตบอลถ้วยแล้ว การตัดสินใจพลาดไม่กี่จุด นำมาซึ่งความล้มเหลวทั้งกระดานก็มี นั่นคือสิ่งหนึ่งที่แฟนบอลและนักวิจารณ์บอกท่ามกลางเส้นทางที่เป๊ปยังต้องพิสูจน์ตัวเองกับแมนฯ ซิตี้ ซึ่งสโมสรตั้งเป้าสัมผัสแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีมมาหลายปี

บทสรุปของทั้ง 2 ฝ่ายคงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับวงการฟุตบอล สถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เชื่อว่าผู้เจนจัดย่อมรู้ดี สิ่งที่ยากคือการปฏิบัติมากกว่า แต่ละฝ่ายมีปัจจัยและบริบทแตกต่างกัน

กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่าใครจะบริหารจัดการและงัดศักยภาพของตัวเองออกมาให้ได้มากสุดในช่วงเวลาที่เหมาะสม นั่นคือหัวใจสำคัญเสมอมา