“ผิน คิ้วคชา” ผู้สร้างตำนานธีมปาร์ก “รู้ว่าเสี่ยง แต่พร้อมรับ”

ผิน คิ้วคชา
ผิน คิ้วคชา

กว่า 3 ทศวรรษที่กลุ่ม “คิ้วไพศาล” หรือ “คิ้วคชา” สร้างปรากฏการณ์ “แลนด์มาร์ก” ขนาดใหญ่ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทย นับตั้งแต่ลงทุนสวนสัตว์เปิด “ซาฟารี เวิลด์” บนที่ดินราว 500 ไร่ ในย่านรามอินทรา กรุงเทพฯ เมื่อปี 2531 และลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ในโครงการ “ภูเก็ตแฟนตาซี” ธีมปาร์กวัฒนธรรมไทยแห่งแรกของโลก เมื่อปี 2542 บริเวณหาดกมลา จังหวัดภูเก็ต

และล่าสุดลงทุนอีก 6,600 ล้านบาท ในโครงการ “คาร์นิวัลเมจิก” ธีมปาร์ก คาร์นิวัล สไตล์ไทย ๆ (บริเวณเดียวกับภูเก็ตแฟนตาซี) เรียกว่าลงทุนทุกครั้งต้องเป็นโครงการขนาดใหญ่ เกิดอิมแพ็ก และเป็นที่ 1 แน่นอนว่าโครงการขนาดใหญ่เมื่อเผชิญวิกฤตก็ย่อมได้รับผลกระทบหนักและแรงกว่าคนอื่นเช่นกัน

2 ปีสูญรายได้ 5 พันล้านบาท

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “ผิน คิ้วคชา” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ภูเก็ต แฟนตาซี จำกัด ถึงมุมมองด้านการลงทุน การบริหาร หลังจากโครงการขนาดใหญ่ทั้ง 3 แห่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมาว่า เขาอยู่ในธุรกิจธีมปาร์กและธุรกิจท่องเที่ยวเกือบ 4 ทศวรรษ ผ่านวิกฤตมาเยอะ ทั้งวิกฤตเล็ก ๆ และวิกฤตใหญ่

การระบาดของโรคโควิด-19 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 30 เป็นวิกฤตที่หนักและใหญ่สุดที่เคยเจอมา เรียกว่าหนักหนาสาหัส และเจ็บปวดมาก เพราะตั้งแต่รัฐบาลสั่งปิดทั้ง 3 โครงการ ทำให้กว่า 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีรายได้เข้า ส่งผลให้สภาพคล่องมีปัญหา

“ผิน” บอกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 การก่อการร้ายเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดปี 2544 โรคซาร์สปี 2546 ไข้หวัดนกปี 2547 สึนามิปี 2547 น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี 2554 ฯลฯ ล้วนเป็นวิกฤตระยะสั้น และกระทบเฉพาะในบางพื้นที่ หรือในบางตลาดเท่านั้น แต่ “โควิด” ที่บอกว่าหนักสุด เพราะเป็นวิกฤตทั้งโลก และกินเวลามานานกว่า 2 ปีแล้ว

“เราสูญเสียรายได้ปีละกว่า 2,000 ล้านบาท รวม 2 ปีครึ่งประมาณ 5,000 ล้านบาท และไม่เพียงแต่ไม่มีรายได้เท่านั้น เรายังมีภาระในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกวันในอัตราที่สูงเหมือนเดิม ส่งผลให้ขาดทุนปีละ 1,500-1,600 ล้านบาท ปัจจุบันมีตัวเลขขาดทุนสะสมพุ่งไปอยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว”

แบกต้นทุน-รายจ่ายทุกวัน

พร้อมอธิบายว่า ธุรกิจธีมปาร์กไม่เหมือนธุรกิจโรงแรมที่อยากปิดบริการวันไหนก็ปิดได้เลย ให้พนักงานพักงานไปก่อน ถึงเวลาเปิดก็เรียกพนักงานกลับมา แต่สำหรับธุรกิจธีมปาร์กนั้น พนักงานประมาณครึ่งหนึ่งต้องใช้สกิลที่ต้องฝึกฝนให้มีประสบการณ์เฉพาะทางสูงมาก

เช่น เอาคนเลี้ยงนกมาเลี้ยงเสือแทนไม่ได้ หรือจะให้คนเลี้ยงเสือไปเลี้ยงนกก็ไม่ได้ เพราะพูดกับนกไม่รู้เรื่อง เป็นต้น สัตว์ของซาฟารีเวิล์ดและภูเก็ตแฟนตาซีมีหลายหมื่นตัวและหลายพันชนิด สัตว์แต่ละตัวจะจำเจ้าของ หากเจ้าของหรือคนดูแลคนเก่าไม่อยู่ เอาคนใหม่มาดูแลเขาจะสั่งไม่รู้เรื่อง

ที่สำคัญสัตว์ต้องกินอาหารทุกวัน วันนี้ไม่ได้กิน พรุ่งนี้ก็ป่วย อีก 3-4 วันก็ตาย

ดังนั้น แม้ว่าในช่วง 2-3 ปีนี้จะลำบากแค่ไหน บริษัทก็จำเป็นที่จะต้องดูแลพนักงานไว้ประมาณครึ่งหนึ่ง และดูแลสัตว์ทุกตัว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนเป็นต้นทุนที่แบกรับมาตลอด

“ในภาวะปกติธุรกิจนี้ทำกำไรได้ พอเจอวิกฤตก็ขาดทุนเป็นเรื่องธรรมชาติ รอบนี้เราขาดทุนหลักพันกว่าล้านต่อปี การจะฟื้นต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ด้วยความที่ผ่านวิกฤตมาเยอะ ทำให้เรามีประสบการณ์สามารถตั้งรับได้ เหมือนการต่อยมวย ขึ้นเวทีต่อยมาเยอะก็มีประสบการณ์ และหาทางแก้วิกฤตด้วยตัวเองได้”

ไม่สนธุรกิจอื่นโฟกัสแค่ธีมปาร์ก

ต่อคำถามว่า จากวิกฤตรอบนี้ทำให้กลุ่มซาฟารีเวิลด์มองเรื่องการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงหรือไม่ “ผิน” ยืนยันหนักแน่นว่าไม่สนใจธุรกิจอื่น และไม่เคยคิดจะทำ แม้ว่าจะเป็นธุรกิจที่กำไรดีก็ไม่สนใจ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีนักลงทุนหลายรายชวนไปลงทุนในธุรกิจอื่นเช่นกัน แต่ก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีความชำนาญพอ

“ถามว่าการขยายฐานไปทำธุรกิจอื่นดีไหม คำตอบก็คือดี แต่บังเอิญผมเป็นคนที่ทำอะไรทำจริงจังในสิ่งเดียว ขอให้เด่นในสิ่งเดียว จริงจังในอาชีพเดียว ไม่ทำอย่างอื่น แม้รู้ว่าเสี่ยงแต่ผมก็ยินดี และพร้อมรับกับความเสี่ยง เพราะเชื่อมั่นว่าธุรกิจท่องเที่ยวจะยังเป็นธุรกิจหลักของประเทศไทยต่อไป”

และย้ำว่า ไม่ว่าจะอีก 30 ปี หรือ 50 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็หนีไม่พ้นเป็นประเทศท่องเที่ยว เนื่องจากภูมิประเทศทุกอย่างของไทยมีความพร้อมที่สุด และมีสิ่งที่เป็นเครื่องการันตีได้ว่า การท่องเที่ยวของไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

“เราเห็นข่าวกรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 สถานที่ท่องเที่ยวของโลกมาหลายรอบและหลายปีแล้ว เช่นเดียวกับภูเก็ตซึ่งก็ติดอันดับโลกเช่นกัน ผมมองตรงนี้ ตรงที่ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกนิยม”

“ผิน” บอกอีกว่า เขาอยู่ในธุรกิจนี้มานาน เห็นว่าธุรกิจท่องเที่ยวมีความแปลกอย่างหนึ่งคือ เป็นธุรกิจที่ยิ่งทำดี ยิ่งทำใหญ่ ยิ่งลงทุนมาก คนก็จะเข้ามาเที่ยวมาก และสามารถคืนทุนเร็ว ทำเล็ก ๆ คู่แข่งจะเยอะและคืนทุนได้ช้า หรือบางครั้งก็ไม่สามารถทำกำไรได้

ยกตัวอย่างโครงการ “คาร์นิวัล เมจิก” ธีมปาร์กแห่ใหม่ล่าสุดที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 กันยายน 2565 นี้ บริษัทลงทุนไป 6,600 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 3-4 ปี

“ที่สำคัญกว่านั้นคือ ที่ผ่านมาผมยังไม่เคยได้ยินใครพูดว่าจะหาแหล่งท่องเที่ยวที่ถูกที่สุด มีแต่คนมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่ดีที่สุด อันนี้คือปรัชญาสำคัญที่ผมนำมาตัดสินใจลงทุนแต่โครงการขนาดใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา”

และนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ “ดีสนีย์” กล้าลงทุนเป็นหลักแสนล้าน เพราะยิ่งลงทุนมากยิ่งคืนทุนเร็ว

เสริมแม็กเน็ตใหม่ “ซาฟารีเวิลด์”

“ผิน” ยังให้สัมภาษณ์ถึงแผนการลงทุนใหม่ด้วยว่า หลังจากนี้การลงทุนจะเป็นโครงการที่มีขนาดเล็กลงแล้ว ไม่มีโครงการขนาดใหญ่เท่ากับซาฟารีเวิลด์ ภูเก็ตแฟนตาซี และคาร์นิวัลเมจิก เนื่องจากโลเกชั่นและเมืองท่องเที่ยวที่เหลืออยู่ไม่มีที่ไหนที่จะทำโครงการขนาดใหญ่เท่ากับกรุงเทพฯ และภูเก็ตได้

“กลุ่มเรามีการลงทุนใหม่ทุก 10 ปี โดยหลังจากนี้มีแผนจะพัฒนาโครงการที่ปราจีนบุรี บนที่ดินที่มีอยู่แล้วกว่า 1 หมื่นไร่ ส่วนจะเป็นลักษณะไหนยังไม่ได้สรุป ขอเอาโครงการใหม่ที่ภูเก็ตให้รอดก่อน”

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ก็จะมีการลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับเติมจุดขายใหม่ในส่วนของกิจกรรมให้กับซาฟารีเวิลด์ เป็นกิจกรรมที่เน้นความแปลกใหม่ สนุกสนาน โดยจะแบ่งการพัฒนาเป็น 4 โซน ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบกิจกรรม และโซนแรกจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้

ทั้งนี้ คาดว่าจะมาช่วยสร้างสีสันรองรับตลาดคนไทย รวมถึงช่วยขยายฐานตลาดจากกลุ่มเด็ก ครอบครัว ไปยังกลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้นด้วย

มั่นใจธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นเร็ว

ประธานกรรมการบริหารบริษัท ซาฟารีเวิลด์ ยังบอกด้วยว่า ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าหลังโควิดตลาดจะฟื้นกลับมาได้เร็วกว่าเดิม เพราะตามทฤษฎีแล้ว สถานการณ์ที่ดิ่งเร็วเวลาฟื้นจะเด้งขึ้นแรงกว่าเดิมเสมอ

และต้องยอมรับว่าการแข่งขันเรื่องเศรษฐกิจในด้านอื่นแข่งขันยาก เพราะต้องใช้เวลา ต้องใช้เงินลงทุน มีธุรกิจท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว ประเทศไหนเบนเข็มมาโฟกัสท่องเที่ยวจะได้เงินง่ายที่สุด

และประเทศไทยเราพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก หากท่องเที่ยวมีปัญหา นั่นคือประเทศมีปัญหา ประเทศเทศต้องรีบแก้ เพราะไม่ใช่แค่เอกชนที่ได้รับผลกระทบ แต่กระทบถึงรัฐบาลด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นแนวโน้มที่มองเห็นข้างหน้า และเป็นตัวปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นเร็วและฟื้นแรง

โดยปัจจุบันทั้ง “ซาฟารีเวิลด์” และ “ภูเก็ตแฟนตาซี” เริ่มมีรายได้เข้ามาแล้ว คาดว่าถึงสิ้นปี 2565 นี้ ทั้ง 2 โครงการจะมีรายได้กลับมาได้ราว 50% และคาดว่าจะกลับมาได้เท่าและใกล้เคียงกับปี 2562 ได้ในปี 2567 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า