เลือกตั้งสหรัฐ : ยังไงต่อ หากผลเลือกตั้งเสมอ หลังจากโพลสูสีเหลือเกิน

บัตรลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024 (เอเอฟพี)

ผลการเลือกตั้งเขตแรกออกมาแล้วเมื่อ 5 พฤศจิกายนตามเวลาท้องถิ่น สำหรับดิกซ์วิลล์ นอตซ์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ หนึ่งในเขตแรก ๆ ของสหรัฐที่เปิดคูหาและเป็นที่แรกที่ประกาศผลการเลือกตั้ง ปรากฏว่าสองคู่ชิงจากพรรครีพับลิกันและเดโมแครตมีคะแนนเท่ากันที่คนละ 3 คะแนน 

ไม่ใช่แค่ในเขตเลือกตั้งเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ด้วยคะแนนโพลหลายสำนักทั่วประเทศที่สูสีกันอย่างมากที่สุดครั้งหนึ่ง จึงเกิดคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้งคามาลา แฮร์ริส ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากรีพับลิกันไม่สามารถได้เสียงของคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ในจำนวนมากพอที่จะชนะได้

แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีไม่มาก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเสมอกันก็ยังคงเป็นไปได้ ทำให้ชาวอเมริกันซึ่งกำลังลุ้นผลนั่งไม่ติดเก้าอี้กันเลยทีเดียว

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ภายใต้ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐนั้น ไม่ใช่คะแนนพ็อปพูลาร์โหวต หรือคะแนนรวมทั่วประเทศที่สามารถตัดสินผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ แต่คือคณะผู้เลือกตั้งที่มีสมาชิก 538 คนต่างหากที่เป็นผู้ตัดสิน ซึ่งหากใครได้คะแนนถึง 270 เสียงก่อนจะเป็นผู้ชนะ

คณะผู้เลือกตั้งมาจากการที่ประชาชนเลือกผู้แทนหรือผู้เลือกตั้งไปรวมอยู่ในคณะผู้เลือกตั้ง ซึ่งคณะผู้เลือกตั้งนี้จะเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีอีกทีหนึ่ง ตามระบอบการเมืองของสหรัฐที่การเลือกตั้งผู้นำเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม

ระบอบการเมืองการปกครองของสหรัฐจึงแตกต่างจากฟิลิปปินส์ เพื่อนบ้านของไทยที่การเลือกตั้งทุกตำแหน่งรวมถึงประธานาธิบดี (One Man One Vote) มาจากการเลือกตั้งทางตรงจากประชาชน

ADVERTISMENT

แต่ละรัฐจะมีผู้เลือกตั้งเท่ากับจำนวนตัวแทนของตนในรัฐสภา และทุกรัฐ (ยกเว้นเนแบรสกาและรัฐเมน) มอบคะแนนของคณะผู้เลือกตั้งทั้งหมดของรัฐให้ผู้สมัครที่มีคะแนนพ็อปพูลาร์โหวตสูงสุดในรัฐ หรือใช้กฎ Winner Takes All หรือระบบผู้ชนะกินรวบ

รัฐธรรมนูญสหรัฐระบุว่า หากทรัมป์และแฮร์ริสไม่สามารถทำคะแนนเสียงถึงกึ่งหนึ่งคือ 270 เสียงแล้ว เช่น เสมอได้ 269 ต่อ 269 ขั้นตอนถัดไปเป็นอำนาจหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่จะตัดสินใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่จะเลือกประธานาธิบดีในเดือนมกราคมปีถัดไป ในขณะที่วุฒิสภา (สว.) จะกำหนดรองประธานาธิบดีคนต่อไป

ADVERTISMENT

สถานการณ์ที่เป็นไปได้ที่อาจทำให้ทั้งสองมีคะแนนเสียงของคณะผู้เลือกตั้งเท่ากัน 269 ต่อ 269 เสียง ยกตัวอย่าง หากแฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะในรัฐวิสคอนซิน มิชิแกน และเพนซิลเวเนีย ขณะที่ทรัมป์คว้าชัยชนะในรัฐจอร์เจีย แอริโซนา เนวาดา และนอร์ทแคโรไลนา รวมถึงเขตเลือกตั้งของฝ่ายซ้ายอีกเขตหนึ่งในเนแบรสกา

การเสมอกันจะบังคับให้มีการเลือกตั้งที่เรียกว่าการเลือกตั้งแบบฉุกเฉินในรัฐสภา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกันยุคใหม่

ครั้งสุดท้ายที่ผลคะแนนเสมอกันทำให้รัฐสภาต้องเลือกประธานาธิบดี ย้อนไปในการเลือกตั้งในปี 1800 หรือเมื่อกว่า 200 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ต้องแข่งขันกับจอห์น อดัมส์ (John Adams) ประธานาธิบดีในขณะนั้น ซึ่งในครั้งนั้น สส.แบ่งแยกกันอย่างมากจนกระทั่งในที่สุดสามารถตกลงกันได้โดยเลือกเจฟเฟอร์สันเป็นประธานาธิบดีคนที่ 36

และในครั้งนี้ หากจำเป็นต้องลงคะแนนเสียงในสภาผู้แทนราษฎร การลงคะแนนเสียงดังกล่าวจะเกิดขึ้นในวันที่ 6 มกราคม 2025

ตามข้อมูลของสำนักงานวิจัยของรัฐสภาสหรัฐ หรือ Congressional Research Service (CRS) การโหวตจะเป็น 1 รัฐ 1 เสียง กล่าวคือแต่ละรัฐไม่ว่าจะมีประชากรเท่าใดก็ตาม จะมีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเพียงเสียงเดียวในการเลือกตั้งฉุกเฉินนี้

ยกตัวอย่าง รัฐไวโอมิง ซึ่งสนับสนุนผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันและมีประชากรเพียง 500,000 คน จะมี 1 เสียงเท่ากับรัฐแคลิฟอร์เนียที่สนับสนุนผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีประชากร 39 ล้านคน

รัฐที่มีผู้แทน 2 คนขึ้นไปจะต้องลงคะแนนเสียงภายในรัฐนั้น เพื่อตัดสินใจว่าจะสนับสนุนผู้สมัครคนใด ซึ่งผู้สมัครจะต้องได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จาก 50 รัฐ หรือ 26 คะแนน ซึ่งในปัจจุบันพรรครีพับลิกันน่าจะได้เปรียบ เพราะมีที่นั่ง สส.ทั้ง 50 รัฐมากกว่าเดโมแครต ทำให้ทรัมป์มีโอกาสเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐมากกว่าแฮร์ริสนั่นเอง

โพลสำรวจก่อนการเลือกตั้งในสะวิงสเตต HarrisX/Forbes ระบุว่าแฮร์ริสมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ที่ 49%-48% ในการสำรวจวันที่ 30 ตุลาคมถึง 1 พฤศจิกายน และในการสำรวจทั่วประเทศของ Ipsos เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน หนึ่งวันก่อนเลือกตั้ง แฮร์ริสยังนำอยู่ 50%-48% อีกด้วย โดยทั้งสองโพลมีค่าความคลาดเคลื่อนเพียง 1 จุด

อ้างอิง

• RTE

• CNN