สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “หลี่ เค่อเฉียง” นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวเปิดประชุมสมัชชาประชาชนแห่งชาติจีน เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมาระบุว่า จีนกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องดิ้นรนทางเศรษฐกิจ พร้อมประกาศลดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2019 มาอยู่ที่ 6.0-6.5% ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้าที่เติบโต 6.6 % และเป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากที่สุดในรอบ 30 ปี
ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงทำให้รัฐบาลจีนต้องจัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ โดยนายกรัฐมนตรีจีน ระบุว่า รัฐบาลเตรียมออกนโยบายลดภาษีหลายประเภทให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงลดเงินประกันสังคมที่บริษัทต้องจ่ายให้พนักงาน โดยเฉพาะการลดภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)ของผู้ผลิตจาก 16 % เป็น 13% และลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้างและขนส่งลงจาก10% เหลือ 9% นอกจากนี้ยังประกาศเพิ่มงบประมาณรายจ่าย โดยตั้งงบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ในปีนี้ เทียบกับปีก่อนหน้าที่ 2.6 % เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังประกาศมาตรการเพื่อช่วยแก้ปัญหาสำหรับธุรกิจขนาดเล็กด้วยการเพิ่มเพดานรายได้ที่จะมีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 100,000 หยวนจากเดิม 30,000 หยวน และมีคำสั่งให้ธนาคารขนาดใหญ่ปล่อยกู้ให้กับบริษัทขนาดเล็กเพิ่มขึ้นเป็น 30 % ทั้งนี้จีนพยายามเดินไปให้ถึงเป้าการเติบโตของเศรษฐกิจตามคำมั่นที่ให้ไว้ในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขึ้น 2 เท่าภายในสิ้นปี 2020 สืบเนื่องจากผู้วางนโยบายตัดสินใจให้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินและความยากจนในประเทศมาเป็นลำดับแรก
นายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนในปีนี้พบกับความท้าทายในหลายเรื่องทำให้จีนต้องเตรียมตัวกับสภาวะยากลำบากที่จะเกิดขึ้น ซึ่งมาตรการลดภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าธรรมเนียมต่างๆ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้มากถึง 2 ล้านล้านหยวน
