การประชุมเสมือนจริงระหว่าง “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐและ “สี จิ้นผิง” ประธานาธิบดีจีน จบลงเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางการจับตาของทั้งโลกว่าจะมีผลสรุปเรื่องสำคัญใดหรือไม่ โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน
วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 บีบีซี รายงานว่า การประชุมครั้งนี้เริ่มต้นที่ผู้นำทั้งสองทักทายกันอย่างอบอุ่น โดยสีกล่าวว่า เขามีความสุขที่ได้เจอเพื่อนเก่า ส่วนไบเดนตอบกลับว่า เขาควรทักทายอย่างเป็นทางการมากกว่านี้ พร้อมออกตัวว่า เขากับสีไม่เคยพบกันอย่างเป็นทางการแบบนี้มาก่อน
- ขาลงยางพารา ราคาร่วงฉุดไม่อยู่ 10 วันราคาตกลงไปแล้ว 7 บาทกว่า
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 1 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- เรือสิงคโปร์ชนสะพานในสหรัฐ มีประวัติไม่ดีมาก่อน เรารู้อะไรแล้วบ้างตอนนี้ ?
ไบเดนเผยด้วยว่าพวกเขาทั้งสองมักจะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมาเสมอ และไม่เคยจากกันไปโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐที่ร่วมการประชุมด้วยเผยภายหลังว่า การทักทายอย่างอ่อนโยนของทั้งคู่ ท้ายที่สุดได้กลายเป็นการพูดคุยที่จริงจังมากขึ้น เมื่อไบเดนแสดงความกังวลเรื่องสิทธิมนุษยชน, การรุกรานไต้หวันของจีน แนวทางปฏิบัติของจีนต่อเขตปกครองตนเองซินเจียงและฮ่องกง และปัญหาการค้าต่าง ๆ แม้ผู้นำทั้งสองจะถกเถียงกันอย่างมีเหตุมีผลก็ตาม
ไบเดนกล่าวกับสีว่า สหรัฐคัดค้านอย่างยิ่งต่อ “ความพยายามฝ่ายเดียว” เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานภาพปัจจุบันของไต้หวัน หรือการบ่อนทำลายสันติภาพของไต้หวัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานคำพูดของสีที่ตอบกลับว่า “ทางการไต้หวันพยายามพึ่งพาสหรัฐหลายต่อหลายครั้ง เพื่อความเป็นเอกราช ขณะที่บางคนในสหรัฐตั้งใจใช้ไต้หวันเพื่อควบคุมจีน แนวความคิดนี้เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เหมือนการเล่นกับไฟ และคนที่เล่นกับไฟมักถูกไฟเผา”
ด้านทำเนียบขาวยืนยันว่า ประธานาธิบดีไบเดนเน้นย้ำว่า สหรัฐยังคงยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐ ภายใต้นโยบายนี้สหรัฐจะยอมรับและมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับจีนมากกว่าเกาะไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่าเป็นมณฑลที่แยกออกมา ก่อนที่วันหนึ่งจะกลับไปรวมกับแผ่นดินใหญ่
อย่างไรก็ตาม สหรัฐก็ยึดมั่นในพระราชบัญญัติความสัมพันธ์ไต้หวัน ซึ่งระบุว่าสหรัฐจะต้องช่วยไต้หวันปกป้องตัวเองในกรณีที่ถูกโจมตี
เมื่อเดือนที่แล้ว ไบเดนยังได้กล่าวว่า สหรัฐจะปกป้องไต้หวัน หากจีนโจมตีเกาะแห่งนี้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการประกาศโดยไม่ยึดติดกับนโยบาย “ความคลุมเครือทางยุทธศาสตร์” (strategic ambiguity) ซึ่งเป็นนโยบายต่างประเทศที่สหรัฐฯยึดถือมานาน
การประชุมนานชั่วโมงครึ่ง ซึ่งนานกว่าที่คาดไว้ เปิดโอกาสให้ไบเดนและสีได้พูดคุยกันนอกเหนือจากประเด็นที่เตรียมมา ด้วยน้ำเสียงที่ให้เกียรติและตรงไปตรงมา
แต่การประชุมที่เต็มไปด้วยความคาดหวังครั้งนี้กลับไม่มีความคืบหน้าที่สำคัญใด ๆ และเจ้าหน้าที่ยังปฏิเสธแนวคิดที่ว่า เป้าหมายของการประชุมคือการบรรเทาความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดของ 2 ประเทศ
“ผมไม่คิดว่าจุดประสงค์ของการประชุมคือการบรรเทาความตึงเครียด หรือนั่นคือผลลัพธ์ พวกเราต้องการมั่นใจว่าการแข่งขันต่าง ๆ จะเกิดขึ้นด้วยความรับผิดชอบ ประธานาธิบดีไบเดนยังแสดงความชัดเจนว่าเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแข่งขันที่รุนแรงด้วย” เจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐกล่าวในภายหลัง
ไบเดนเน้นด้วยว่า จำเป็นต้องปกป้องชาวอเมริกันและอุตสาหกรรมต่าง ๆ จากแนวทางปฏิบัติทางการค้าและเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมของสาธารณะรัฐประชาชนจีน ขณะที่สีแสดงความหนักแน่นในประเด็นนี้ โดยกล่าวกับไบเดนว่า สหรัฐจำเป็นต้องหยุดดูหมิ่นแนวคิดเรื่องการรักษาความมั่นคงของชาติเพื่อกดขี่บริษัทจีนเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีการหารือในประเด็นภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และบทบาทของสหรัฐกับจีนในเรื่องนี้ หลังจากสองประเทศได้สร้างความประหลาดใจแก่ประชาคมโลก ด้วยการประกาศความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการประชุม COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ของสกอตแลนด์
“สตีเฟน แมคโดเนลล์” ผู้สื่อข่าวบีบีซีมองว่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ผู้นำทั้งสองได้พูดคุยกัน หลังจากไบเดนเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขณะที่สีเองก็ไม่ได้เดินทางออกจากจีนเป็นเวลาเกือบสองปี นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองฝ่าย รวมถึงในระดับโลก โดยก่อนหน้านี้ทางการจีนได้เรียกร้องให้รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถดถอยลงในยุคของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
นักวิเคราะห์บีบีซีมองด้วยว่า บรรยากาศของการประชุมคือสิ่งที่อบอุ่นที่สุด ที่ปรากฏขึ้นระหว่างผู้นำสหรัฐฯกับผู้นำจีน
การประชุมครั้งนี้เป็นไปอย่างฉันมิตร มีการโบกมือ การพูดถึงชุมชนโลก และความท้าทายของมนุษยชาติ แตกต่างจากคราวที่ผู้แทนอาวุโสจากทั้งประเทศหารือกันเมื่อเดือนมีนาคม ซึ่งจบลงด้วยการปะทะคารมกันอย่างดุเดือด