ไบเดนสั่งโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มกำลังผลิต ลดกำไรที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า

ไบเดนสั่งโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มกำลังผลิต ลดกำไรที่เพิ่มขึ้น 3 เท่า
REUTERS/Sarah Silbiger

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โจ ไบเดน” ส่งจดหมายถึง 7 โรงกลั่นน้ำมัน เรียกร้องให้เพิ่มกำลังผลิตน้ำมันเบนซิน-ดีเซล ชี้กำไรโรงกลั่นพุ่ง 3 เท่า 

วันที่ 16 มิถุนายน 2565 เอพีรายงานว่า “โจ ไบเดน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เรียกร้องให้โรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันเบนซินและดีเซลมากขึ้น โดยระบุว่าผลกำไรของโรงกลั่นน้ำมันเหล่านี้เพิ่มขึ้น 3 เท่าในช่วงสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ในขณะที่ชาวอเมริกันต้องต่อสู้กับราคาน้ำมันที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่ปั๊มน้ำมัน

“วิกฤตการณ์ที่ครอบครัวจำนวนมากกำลังเผชิญสมควรได้รับการแก้ไขทันที” ไบเดนเขียนในจดหมายถึงโรงกลั่นน้ำมัน 7 แห่ง พร้อมระบุว่า “บริษัทของพวกคุณจำเป็นต้องทำงานร่วมกับฝ่ายบริหารของผมเพื่อนำเสนอวิธีแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรมในระยะสั้นเพื่อจัดการกับวิกฤตนี้”

ราคาน้ำมันทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นภาระทางเศรษฐกิจสำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก และเป็นภัยคุกคามทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตของไบเดนที่กำลังจะเข้าสู่การเลือกตั้งกลางเทอม

อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 แต่เงินเฟ้อที่พุ่งสูงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เกิดจากราคาพลังงานและอาหารทะยานสูงขึ้น หลังจากรัสเซียบุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกเสียระบบ

รัฐบาลสหรัฐฯรายงานเมื่อวันศุกร์ว่า ราคาผู้บริโภคพุ่งขึ้น 8.6% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มที่เลวร้ายสุดในรอบกว่า 40 ปี

จดหมายของไบเดนระบุด้วยว่า ราคาก๊าซเฉลี่ยที่ 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เมื่อน้ำมันเข้าใกล้ราคาปัจจุบันที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเดือนมีนาคม ความแตกต่าง 75% ของราคาน้ำมันเฉลี่ยในเวลาเพียงไม่กี่เดือน สะท้อนถึงการขาดแคลนกำลังการกลั่น และผลกำไรที่ขณะที่อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยบันทีกไว้

สถาบันอเมริกัน ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นตัวแทนอุตสาหกรรม กล่าวในแถลงการณ์ว่า ความสามารถในการกลั่นน้ำมันลดลงเนื่องจากฝ่ายบริหารของไบเดนพยายามลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวาระการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“ในขณะที่เราซาบซึ้งกับโอกาสที่จะได้เปิดการเจรจากับทำเนียบขาวเพิ่มขึ้น วาระนโยบายที่เข้าใจผิดของฝ่ายบริหาร กำลังเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติในประเทศ ได้ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และเพิ่มอุปสรรคให้กับความพยายามในแต่ละวันของเอกชน ในการตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับลดการปล่อยมลพิษ” ไมค์ ซอมเมอร์ส ซีอีโอเอพีไอ กล่าวในแถลงการณ์

ซอมเมอร์สกล่าวเสริมว่า “ผมได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีไบเดนและคณะรัฐมนตรีของเขาเมื่อวานนี้ เพื่อเสนอ 10 นโยบายบรรเทาความเดือดร้อนที่ปั๊มน้ำมัน และเสริมสร้างความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรวมถึงการอนุมัติโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่สำคัญ การเพิ่มการเข้าถึงเงินทุน การระงับการขายสัญญาเช่าพลังงาน ท่ามกลางลำดับความสำคัญเร่งด่วนอื่น ๆ”

“คลอดิโอ กาลิมเบอร์ติ” รองประธานอาวุโสของรีสตาด เอนเนอร์จี กล่าวว่า จดหมายไม่น่าจะเริ่มที่การผูกมัดเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้เพิ่มอุปทาน โรงกลั่นได้ผ่านการบำรุงรักษาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและไม่ได้วางแผนไว้ทั่วโลกในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา และมีการขาดแคลนอย่างรุนแรงทั่วโลก การตัดสินใจของจีนที่จะจำกัดการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมัน ยังมีส่วนให้เกิดปัญหาเช่นกัน

“โรงกลั่นน้ำมันสหรัฐฯไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถเกินระดับปัจจุบันได้ หากพวกเขาทำได้ พวกเขาคงทำไปแล้ว

“อย่างที่ไบเดนเห็น โรงกลั่นน้ำมันกำลังใช้ประโยชน์จากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่เกิดจากช่วงสงคราม ข้อความของเขาที่ว่าองค์กรมีส่วนทำให้ราคาสูงขึ้นนั้น เป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์หลาย ๆ คน และข้อเรียกร้องนี้อาจสะท้อนบางอย่างถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้ง”

สมาชิกสภานิติบัญญัติเสรีนิยมบางคนเสนอให้ควบคุมผลกำไรของบริษัท ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เช่น “เบอร์นี แซนเดอร์ส” ที่เสนอให้เก็บภาษี 95% จากกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนเกิดโรคระบาด

ประธานาธิบดีไบเดนออกมาวิจารณ์อย่างรุนแรงในสิ่งที่เขามองว่าเป็นการแสวงหากำไร ท่ามกลางวิกฤตระดับโลกที่อาจผลักดันยุโรปและส่วนอื่น ๆ ของโลก ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเขากล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า เอ็กซอนโมบิลทำเงินได้มากกว่าพระเจ้าในปีนี้

เอ็กซอนโมบิลตอบโต้ว่า บริษัทได้แจ้งฝ่ายบริหารถึงแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันและกำลังการกลั่นแล้ว

“ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า วลาดีมีร์ ปูติน ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสทางการเงินของชาวอเมริกันและครอบครัวของพวกเขา” ไบเดนเขียนในจดหมาย และระบุอีกว่า “แต่ท่ามกลางสงครามที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 1.70 ดอลาร์ต่อแกลลอน อัตรากำไรจากโรงกลั่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ กลับซ้ำเติมความเจ็บปวดให้แย่ลงไปอีก”

ข้อความในจดหมายระบุด้วยว่า ฝ่ายบริหารพร้อมที่จะใช้เครื่องมือของรัฐบาลกลางและหน่วยงานฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและผลผลิตของโรงกลั่นในระยะเวลาอันใกล้ พร้อมระบุว่าไบเดนได้ปล่อยน้ำมันออกจากแหล่งสำรองเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และเพิ่มมาตรฐานการผสมเอทานอลแล้ว แม้ว่าการกระทำใด ๆ จะไม่กดดันราคาให้ต่ำลง

“รัฐบาลสามารถทำอะไรบางอย่างได้เพื่อลดราคาน้ำมัน แทนที่จะปล่อยน้ำมันจากแหล่งยุทธศาสตร์” จิม เบอร์กฮาร์ด รองประธานไอเอชเอส มาร์กิต กล่าว และเสริมว่า หากไบเดนไม่ทำเช่นนั้น ราคาก็จะสูงขึ้นในวันนี้

“ไม่มีรัฐบาลใดสามารถเสกอุปทานใหม่ขึ้นมาได้” เบิร์กฮาร์ด กล่าวและว่า “สิ่งหนึ่งที่อาจช่วยได้คือการมีความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์มากขึ้นกับอุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ เพราะตอนนี้ค่อนข้างเป็นปรปักษ์กัน”

ประธานาธิบดีสหรัฐฯส่งจดหมายถึงมาราธอน ปิโตรเลียม, วาเลโร เอนเนอร์จี, เอ็กซอนโมบิล, ฟิลลิป 66, เชฟรอน, บีพี และเชลล์

นอกจากนี้เขายังสั่งให้ “เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม” รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน จัดการประชุมฉุกเฉิน และปรึกษากับสภาปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาของรัฐบาลที่ดึงมาจากภาคพลัง

ไบเดนขอให้แต่ละบริษัทอธิบายกับแกรนโฮล์มถึงการลดการกลั่นลงตั้งแต่ปี 2563 เมื่อการระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้น เขายังต้องการให้บริษัทต่าง ๆ นำเสนอแนวคิดที่เป็นรูปธรรมที่สามารถแก้ปัญหาสินค้าคงคลัง ราคา และกำลังการกลั่น ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งรวมถึงมาตรการขนส่งเพื่อนำผลิตภัณฑ์ที่กลั่นแล้วออกสู่ตลาด

สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ เผยเมื่อวันศุกร์ว่า อาจมีข้อจำกัดในการเพิ่มขีดความสามารถการผลิต พร้อมประมาณการว่า การใช้โรงกลั่นจะไปถึงระดับเฉลี่ยต่อเดือนที่ 96% สองครั้งในฤดูร้อนนี้ ซึ่งใกล้ขีดจำกัดสูงสุดของสิ่งที่โรงกลั่นสามารถรักษาได้อย่างสม่ำเสมอ

จดหมายระบุด้วยว่า กำลังการกลั่นประมาณ 3 บาร์เรลต่อวันทั่วโลกหยุดชะงักไป ตั้งแต่เกิดโรคระบาด ส่วนในสหรัฐฯ การกลั่นลดลงกว่า 800,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2563