พยายามฟื้นความเชื่อมั่น

พ.ย. ตลาดทรงตัว: ภาพรวมการลงทุนเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา SET แกว่งตัวผันผวน แต่ปิดทรงตัว แย่กว่าตลาดภูมิภาค ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่ชะลอตัว โดยปัจจัยภายนอกถือเป็นแรงหนุนจากความคาดหวังต่อวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯที่คาดจะเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกปรับฐานลง กระตุ้นแรงเก็งสินทรัพย์เสี่ยงมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ดี SET ยังถูกแรงกดดันจากปัจจัยในประเทศ ทั้งการผ่านช่วงฤดูกาลรายงานผลประกอบการ ซึ่งพบว่ากำไรตลาดหุ้นไทยยังถูกปรับลดลง ผสานกับการขาดความเชื่อมั่นต่อการลงทุน จากความกังวลประเด็น Program Trading, Short Sell, Naked Short ล้วนเป็นประเด็นสำคัญที่กระทบต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น 

วิกฤตความเชื่อมั่น : ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยหดตัวลงไปเรื่อยๆ ในช่วงที่ผ่านมา คือ การเข้ามาของ Program Trading ซึ่งหากย้อนกลับไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จะพบว่า Program Trading มีบทบาทที่สำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในช่วงแรก (ปี 2019-2020) พบว่าสัดส่วนของการลงทุนผ่าน Program Trading คิดเป็น 20-25% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด ขณะที่ปัจจุบันสัดส่วนปรับขึ้นมาสูงถึง ระดับ 40% ของปริมาณการซื้อขายทั้งตลาด ด้วยทั้งความเร็วในการตัดสินใจ การตัดเรื่องของอารมณ์ และการได้เปรียบในด้านต้นทุน (ค่าคอมมิชชั่น) ยิ่งทำให้การลงทุนเพื่อสู้กับ Program Trading ทำได้ยากยิ่งขึ้น  ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยหดตัวลง นอกจากนี้ตลาดยังมีการพูดถึงประเด็น Naked Short ที่มักทำในรูปแบบของ net settlement ที่ในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งหากในปัจจุบันยังเกิดขึ้นอีก ก็จะยิ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยหมดเสน่ห์ลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นคงต้องหวังให้ทางตลาดหลักทรัพย์ และ กลต. ลงมาเพิ่มความเข้มงวด หรืออาจออกกฎที่ช่วยสกัดกั้นการกระทำดังกล่าว เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาอยู่ในภาวะปกติมากยิ่งขึ้น 

ยังรอคอยมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม :  หลายมาตรการภาครัฐฯในช่วงโค้งสุดท้ายของปี คาดจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาพยุง sentiment ได้มากขึ้น ทั้งการเตรียมเข้ามาแก้ปัญหาหนี้ในระบบ และนอกระบบ, การหามาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทยที่ปีนี้ทำได้ต่ำกว่าที่คาดหวังไว้, การออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคในระยะถัดไปทั้ง โครงการ Digital Wallet (แต่ยังต้องรอการตีความจากกฤษฎีกา), โครงการ e-Refund รวมถึงโครงการที่จะเข้ามากระตุ้นในช่วงปลายปีนี้เลย เช่น การออกกองทุน Thailand ESG Fund (TESG)

รอ TESG ช่วยกระตุ้นโค้งสุดท้าย : ล่าสุด ครม. ได้อนุมัติการจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนหุ้นไทยหุ้นไทยที่มี ESG ในระดับดี โดยเราประเมินเป็นบวกเล็กน้อยต่อ SET จาก 1) เป็นเม็ดเงินเข้าลงทุนในหุ้นไทย ดีกว่ากองทุน SSF ที่มีตัวเลือกหลากหลาย 2) เป็นวงเงินลดหย่อนเพิ่มเติม สะท้อนเป็นเม็ดเงินใหม่ที่เข้าสู่ตลาด 3) พยุงได้เร็วตั้งแต่ ธ.ค.นี้ แต่อย่างไรก็ดี TESG ยังมีข้อเสียอยู่บ้าง เช่น 1) การถือครอง 8 ปีเต็มยังไม่ดึงดูดมากนักเมื่อเทียบกับ LTF ในอดีต 2) วงเงินลดหย่อนไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคน ซึ่งอาจทำให้กองทุน TESG ระดมทุนได้ไม่มากนัก ดังนั้นเราประเมินวงเงินรวมของ TESG อาจอยู่ราว 1 หมื่นล้านบาท แม้ไม่ได้สูงมากนัก แต่ก็ยังอาจเป็นจิตวิทยาเชิงบวกที่เข้ามาช่วยกระตุ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปีได้ โดยเป้าหมายกองทุน คาดเป็นหุ้นที่มี ESG Rating ดี (AAA, AA) มีแนวโน้มกำไรปีหน้าเติบโตดี ผสานกับ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง

พยายามฟื้นความเชื่อมั่น : คาด SET ช่วงเดือน ธ.ค. แกว่งในกรอบ 1360-1450 จุด รอลุ้นมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผสานเม็ดเงินพยุงจากกองทุน TESG และการฟื้นความเชื่อมั่นต่อการลงทุนที่มากยิ่งขึ้น โดยสำหรับกลยุทธ์ ยังคงเน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรปีหน้าเติบโตได้ดี โดยสำหรับ Top Picks เดือน ธ.ค.นี้ แนะนำ COCOCO, CPN, ITC, KCE, WHA

5 หุ้นเด่น ประจำเดือนธันวาคม 2023 

  1. COCOCO (10.7) : น้ำมะพร้าวส่งออกไปจีนยังมีความต้องการสูง ถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของกำไรในปีหน้า ผสานการต่อยอด New S-Curve อื่นๆ เช่น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง, Plant Base Food ซึ่งจะช่วยเสริมในช่วงถัดไป
  2. CPN (82.0*) : คาดแนวโน้มปลายปีเข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองหนุนปริมาณผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น ผสานการเปิดห้างใหม่ และ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอดีต หนุนความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
  3. ITC (23.5) : คาด 4Q23 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดในปีนี้ จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ผสานกับอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลง อีกทั้งยังมีลุ้นเข้าคิดคำนวนในดัชนี SET50 และ SET100 รอบใหม่ที่จะประกาศช่วงกลางเดือน ธ.ค.นี้
  4. KCE (59.0) : คาดยอดขายในช่วง 4Q23 ยังขยายตัว 3-4%q-q ผสานกับอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดยังเพิ่มขึ้นราว 1-2% จากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาวัตถุดิบลดลง ส่วนปีหน้าคาดยังขยายต่อเนื่อง อีกทั้งกลางเดือน ธ.ค.นี้ มีโอกาสสูงที่จะได้รับคัดเลือกคำนวนในดัชนี SET50 รอบใหม่
  5. WHA (5.8*) : คาดกำไร 4Q23 จะเป็นจุดสูงสุดของปี แรงหนนุจากการโอนที่ดินที่โดดเด่น, ธุรกิจน้ำปรับตัวดีขึ้น หลังลูกค้ากลับมาดำเนินการได้ตามปกติ ส่วนธุรกิจไฟฟ้าดีขึ้นตาม GHECO-ONE ผสานการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT

*ราคาเป้าหมายจาก Bloomberg Consensus*

บทความโดย วิจิตร อารยะพิศิษฐ
นักกลยุทธ์การลงทุน
ที่มา: บล. ลิเบอเรเตอร์