คอลัมน์ : สถานีลงทุน ผู้เขียน : ยศรวี จงแสงทอง ธนาคารทิสโก้
ความตั้งใจในการเปลี่ยนผ่านไปสู่นโยบายด้านพลังงานสีเขียวของประเทศจีน ผ่านแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปีต่อเนื่องมากว่า 2 ทศวรรษ ทั้งการลงทุนด้านการวิจัยและการสร้างห่วงโซ่อุปทานครอบคลุมต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทำให้บริษัทจดทะเบียนจีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านพลังงานหมุนเวียน และทำให้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดของจีนที่อยู่ในดัชนี Solactive China Clean Energy ปรับเพิ่มขึ้นถึง 120% (+31% CAGR) สูงกว่าผลตอบแทนจากดัชนี CSI300 และดัชนี MSCI China ที่ให้ผลตอบแทน 0.5% และ -20% ตามลำดับ
และแม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การเติบโตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดในจีนยังคงเพิ่มขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจโลก โดยตามรายงานของ BloombergNEF ประเมินว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ทั่วโลกมีการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยกว่าครึ่งหนึ่งเป็นเม็ดเงินลงทุนจากประเทศจีนที่ราว 5.46 แสนล้านดอลลาร์ ทิ้งห่างอันดับสองอย่างสหภาพยุโรปราว 3 เท่า และเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในสหรัฐราว 4 เท่า
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
- ดร.วิวัฒน์ กรมดิษฐ์ ผู้อยู่เบื้องหลัง “บ้านกรมดิษฐ์” บ้านสวนลอยฟ้า
ขณะที่ข้อมูลจาก EIA ประเมินว่าในช่วงปี 2022-2027 จีนจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 2 เท่าจากช่วงปี 2016-2021 คิดเป็นราว 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ทั่วโลก โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ (solar PV) และพลังงานลมที่มีสัดส่วนถึง 90% ของการผลิตพลังงานหมุนเวียนใหม่ทั้งหมด และจะนำหน้าการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนภายในปี 2023
การเพิ่มขึ้นของการลงทุนดังกล่าวสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลจีน ซึ่งถูกระบุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 5 ปีนับตั้งแต่ปี 2001 (แผนฉบับที่ 10) รวมถึงการประชุม 2 สภาจีนเมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนหันมาให้ความสำคัญกับคำว่า “เสถียรภาพ” ให้กับเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะความมั่นคงด้านพลังงาน ประเมินกันว่าผลจากการเร่งการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนอย่างมหาศาลในจีน จะทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายแรกของการปล่อยคาร์บอนสูงสุดได้ภายในปี 2025 จากเดิมในปี 2023 หรือเร็วกว่าเดิม 5 ปี
นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งด้านการผลิตและห่วงโซ่อุปทานยังช่วยสนับสนุนให้บริษัทจีนขึ้นมาเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์และครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยบริษัทชั้นนำระดับโลก 8 ใน 10 เป็นบริษัทสัญชาติจีน ครอบคลุมห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่การผลิต polysilicon ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ไปจนถึงการผลิตโมดูลและอินเวอร์เตอร์
ขณะที่การเร่งขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในจีน ทำให้บริษัทในยุโรปที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตกังหันลมย้ายฐานการผลิตมายังจีนมากขึ้น ส่งผลให้จีนกลายเป็นฐานสำคัญในการผลิตชิ้นส่วนด้านพลังงานด้านพลังงานลม
ข้อมูลจาก Bloomberg ประเมินว่า บริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในดัชนี Solactive China Clean Energy ในปี 2023 ภาพรวมกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตถึง 30% YOY สูงกว่าการเติบโตของตลาดหุ้นจีน CSI300 ที่ 20% และตลาดหุ้นโลกที่ 1.6% (as of 21 มี.ค. 23) ขณะที่การปรับตัวของหุ้นจีนที่ผ่านมา ส่งผลให้ FWD PE (NTM) ของดัชนีปรับตัวลงมาที่ 18x (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 22.6x) และสัดส่วนกว่า 99% ของบริษัทในดัชนีมีผลกำไรเป็นบวกในปีที่ผ่านมา สะท้อนภาพความแข็งแกร่งของผลประกอบการ สวนทางกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
การลงทุนด้านพลังงานสะอาดจีนนับเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าสนใจ โดยมีปัจจัยหนุนระยะยาวจากข้อตกลงปารีสที่รัฐบาลทั่วโลก มีข้อตกลงร่วมกันที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะช่วยสนับสนุนการเติบโตบริษัทด้านพลังงานหมุนเวียนในจีน
นอกจากนี้ การสนับสนุนจากรัฐบาลจีนยังส่งผลให้อุตสาหกรรมมีความเสี่ยงด้านนโยบายที่ต่ำ (low policy risk) ส่งผลให้จีนสามารถขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนอันดับหนึ่งของโลก และน่าจะต่อเนื่องยาวนานไปอีกหลายปี และจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับการลงทุนในธีมพลังงานสะอาดจีนได้
