ความยั่งยืนในอาเซียน ไทยนำ BCG ขับเคลื่อนประเทศ

ความยั่งยืน

“ดีลอยท์” เผยรายงานฉบับใหม่ในหัวข้อ “ความมุ่งมั่นในการจัดการด้านความยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำปี 2565” โดยนำเสนอความท้าทายการจัดการด้านความยั่งยืนที่ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญอยู่ และความมุ่งมั่นของภาครัฐเพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านั้น เพื่อให้ภูมิภาคนี้แสดงศักยภาพในทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่

สำหรับรายงานฉบับนี้ จัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Deloitte Center for the Edge และสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน (US-ASEAN Business Council) เพื่อมุ่งให้ความสำคัญกับข้อมูลเชิงลึกของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน 5 ด้านสำคัญ ที่คัดเลือกโดยสมาชิกสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ได้แก่ พลังงานและสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำ ของเสีย และความเท่าเทียมกันทางเพศ

นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังแสดงภาพรวมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดจาก 9 ประเทศ ได้แก่ บรูไน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, สปป.ลาว, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย และเวียดนาม

“มาร์ค มีลลีย์” Senior Vice President-Policy สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียน กล่าวว่า ในฐานะที่ทวีปเอเชียเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคชั้นนำ และเป็นแหล่งลงทุนโดยตรงของสหรัฐที่ใหญ่ที่สุด บริษัทสัญชาติสหรัฐจึงลงทุนเพิ่มขึ้นในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดการของเสีย การส่งเสริมบทบาททางเศรษฐกิจของผู้หญิง และการสนับสนุนโครงการริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน เมื่อพวกเขาขยายกิจการเชิงพาณิชย์ในภูมิภาคที่มีการแข่งขันที่สูงนี้

ดังนั้น ความคืบหน้าในการจัดการความยั่งยืนในปัจจุบันของแต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านการวิเคราะห์ในรายงานตามระเบียบวิธีวิจัย มีการให้คะแนนตามผลงานของแต่ละประเทศ เป็นไปตามดัชนีที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เป้าหมายและพันธสัญญาของประเทศต่าง ๆ จะถูกนำมาประเมินกับเป้าหมายที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ซึ่งรวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความมุ่งมั่นในการจัดการความยั่งยืนของประเทศต่าง ๆ

ด้านพลังงานและสภาพอากาศ ภูมิภาคนี้ดำเนินการได้ดีเพื่อให้มีไฟฟ้าเพียงพอสำหรับประชากร 660 ล้านคน โดยประเทศต่าง ๆ ได้ 4 หรือ 5 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน

สำหรับภูมิภาคนี้มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ประกอบด้วยพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเร่งด่วนเพื่อมองหาแนวทางการเติบโตที่ยั่งยืน โดยไม่สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ขณะที่การจัดการทรัพยากรน้ำ และของเสีย ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับบางประเทศ อย่างไรก็ตาม เศษอาหารเป็นปัญหาใหม่ ซึ่งรัฐบาลทั่วทั้งภูมิภาคเพิ่งจะเริ่มสามารถจัดการได้อย่างมีเป้าหมายมากขึ้น ส่วนประเด็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ มีความคืบหน้าอย่างมากในการยุติการเลือกปฏิบัติ ความรุนแรง และการกระทำที่เป็นอันตรายทุกรูปแบบ

“ดุลีชา กุลสุรียา” กรรมการผู้จัดการ Center for the Edge Deloitte Southeast Asia กล่าวเสริมว่า ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และระบบนิเวศทางธรรมชาติที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

แต่กระนั้นก็มีโอกาสมากมายที่จะจัดการกับความท้าทายที่หลากหลายของภูมิภาคนี้ หากรัฐบาลอาเซียนดำเนินการตามพันธสัญญาด้านสภาพอากาศอย่างเด็ดขาด โดยร่วมมือกับภาคเอกชนขับเคลื่อนการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ และความยั่งยืน

ดังนั้น เมื่อมามองประเทศไทย ต้องยอมรับว่าภาครัฐ และเอกชนมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green จนทำให้ประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีในการจัดการความยั่งยืนทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย

หนึ่ง การขยายเขตเมืองในประเทศไทย ส่วนใหญ่นำโดยเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 80 ของเขตเมืองทั้งหมดในประเทศ ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

และประเทศไทยเองมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุดในโลกต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่ ทำให้ประเทศไทยมีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางธุรกิจเชิงพาณิชย์หากยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

สอง ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ครอบคลุมเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ทั้ง 17 ข้อ และยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ประเทศไทยยังมีส่วนร่วมในรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ประจำปี 2564 ระดับชาติโดยสมัครใจ (2021 Voluntary National Review on Sustainable Development) ซึ่งยืนยันว่าประเทศไทยมีการดำเนินการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างชัดเจน

สาม ปัจจุบันการขยายเขตเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยท้าทายสำหรับการพัฒนาประเทศ ในปี พ.ศ. 2563 ประชากรมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ อาศัยอยู่ในเขตเมือง และประเทศไทยกำลังเผชิญกับอัตราการขยายเขตเมืองที่ลดลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากมีสัดส่วนของประชากรจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท

สี่ การเพิ่มขีดความสามารถให้กับกำลังแรงงาน เนื่องจากประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลไทยเรียกว่า “Thailand 4.0” จึงมีการเข้าถึงโอกาสในการจ้างงานที่ดีขึ้น และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของผู้หญิงที่เป็นกำลังแรงงาน ซึ่งอยู่ที่ 59 เปอร์เซ็นต์ในปี 2564

ห้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายที่สำคัญ และมีหลายแง่มุม ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำ ของเสีย และความเท่าเทียมทางเพศ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้อาเซียนรับมือกับความท้าทายเหล่านี้

“กษิติ เกตุสุริยงค์” Sustainability & Climate Leader ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวว่า โมเดล Bio-Circular-Green Economy (BCG) ของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เราเริ่มเห็นการริเริ่มของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนวาระ BCG ไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

“ดังนั้นเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินการตามแนวทางการลดคาร์บอนเป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับโมเดล BCG และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล สำรวจทางเลือกการประเมินค่าเศษอาหารให้มีมูลค่าสูงขึ้น และขยายเครือข่ายน้ำเสียผ่านโครงการสาธารณูปโภค และขีดความสามารถทางเทคนิคของอาคาร”


ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีโอกาสอีกมากมายที่ภาครัฐ และเอกชนจะร่วมมือกันเพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน และประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจในโอกาสต่อไป