“ออราเคิล” เปิดผลวิจัยปี’64 โควิดกระทบจิตใจคนทำงานพุ่ง 80%

ทำงาน

“ออราเคิล” เปิดผลวิจัยปี’64 โควิดกระทบจิตใจคนทำงานพุ่ง 80% เทรนด์ปี’65 ยุคโรบอตครองงาน

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ออราเคิลและเวิร์กเพลส อินเทลลิเจนซ์ (Workplace Intelligence) บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคล ได้สำรวจความเห็นของ พนักงาน ผู้จัดการระบุว่า หัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคล และผู้บริหารระดับสูงกว่า 14,600 คน ใน 13 ประเทศชี้ว่าผู้คนทั่วโลกต่างรู้สึกว่ากำลังติดอยู่กับภาวะน่าเบื่อหน่ายที่ไม่สามารถหาทางออกได้ ทั้งในเรื่องอาชีพการงานและเรื่องส่วนตัว ในขณะเดียวกัน จำนวนมากกว่า 6,000 คนจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เช่น ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ ยังมีความพร้อมที่จะกลับมาควบคุมการใช้ชีวิตการทำงาน สร้างความกังวลถึงอนาคตการทำงานที่เสี่ยงไม่ก้าวหน้า

ในส่วนของรูปแบบการทำงานนั้น องค์กรให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น โดยเฉพาะหุ่นยนต์อันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่กระทบต่อสุขภาพจิตของคนทำงานอย่างมีนัยสำคัญ ตามความเห็นส่วนใหญ่ระบุพนักงานรู้สึกโดดเดี่ยว และแปลกแยกจากชีวิตของตัวเอง

นายทวีศักดิ์ แสงทอง กรรมการผู้จัดการ ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์และความผันผวนที่ยาวนานกว่า 1 ปีของโควิด-19 ได้กระทบต่อความรู้สึกของคนทำงานอย่างมาก เกิดความสับสนทางอารมณ์ รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมชีวิตส่วนตัวและการงานของตัวเองได้

โดยกว่า 80% ได้รับผลกระทบเชิงลบจากปีที่แล้ว หลายคนมีความเดือดร้อนทางการเงิน (31%) รู้สึกทรมานจากสภาพจิตใจที่หดหู่ (29%) ขาดแรงจูงใจในการทำงาน (25%) รู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม (25%) และรู้สึกถูกตัดขาดไม่สามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้ (22%) โดยจำนวน 63% คิดว่าปี 2021 เป็นปีที่ตึงเครียดที่สุดในการทำงาน โดยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด (55%) ต้องต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิตจากเรื่องงานในปี 2021 มากกว่าปี 2020 ที่ผ่านมา

ผู้คนรู้สึกถึงการไม่สามารถควบคุมการใช้ชีวิตได้ ทั้งในเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานเพิ่มขึ้นมากกว่าครึ่งหนึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาด โดยคนส่วนใหญ่รู้สึกสูญเสียการควบคุมเรื่องชีวิตส่วนตัว (47%) อนาคต (46%) และการเงิน (45%) นอกจากนี้ 77% รู้สึกติดอยู่ในภาวะน่าเบื่อหน่ายในด้านชีวิตส่วนตัว โดยวิตกกังวลกับอนาคตของตนเอง (32%) ติดอยู่กับกิจวัตรประจำวันเดิม ๆ (27%) และเดือดร้อนด้านการเงิน (25%) ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันผู้คนโดยส่วนใหญ่ (78%) รู้สึกว่าบริษัทตัวเองเริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพจิตของพนักงานมากกว่าก่อนการแพร่ระบาด

นอกจากนี้ ความเห็นของคนทำงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต่างต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตการทำงานของตัวเอง แบ่งเป็น 93% ใช้ประสบการณ์จากปีที่ผ่านมาเพื่อไตร่ตรองชีวิตของตัวเอง โดย 90% ระบุว่า นิยามความสำเร็จได้เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาด โดยผู้คนหันไปให้ความสำคัญอย่างมากกับ work-life balance (43%) สุขภาพจิต (38%) และความยืดหยุ่นในสถานที่ทำงาน (34%) ตามมาด้วยจำนวน 78% รู้สึกตันและติดอยู่กับอาชีพการงานเพราะไม่มีโอกาสก้าวหน้าในสายงานได้ (27%) และรู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลง (23%)

ยิ่งไปกว่านั้น จำนวน 72% รู้สึกจมอยู่กับอาชีพการงาน มีผลกระทบเชิงลบต่อชีวิตส่วนตัวด้วย เนื่องจากเกิดความเครียดและความวิตกกังวลมากขึ้น (42%) ทำให้ยิ่งรู้สึกติดอยู่กับความรู้สึกส่วนตัวตามไปด้วย (31%) และเลิกให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว (28%) เป็นต้น

นายทวีศักดิ์ยังได้กล่าวถึงทิศทางเทรนด์ HR ของปี 2565 ผู้คนให้ความสำคัญมากที่สุด คือ การสร้างอาชีพ โดยมีคนจำนวนมากยอมเสียประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การจัดสรรงานที่ยืดหยุ่น (60%) เวลาพักร้อน (55%) แม้แต่เงินโบนัส (52%) หรือหักเงินเดือนบางส่วน (48%) เพื่อให้ได้โอกาสการทำงานที่มากขึ้น อย่างไรตาม คนทำงานและพนักงานกว่า 86% ในเอเชีย-แปซิฟิกยังไม่พอใจกับการสนับสนุนช่วยเหลือของนายจ้าง ต้องการให้องค์กรจัดหาโปรแกรมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ (38%) โอกาสการทำงานในตำแหน่งใหม่ภายในบริษัท (32%) และความยืดหยุ่นในการทำงานที่มากขึ้น (32%)

อย่างไรก็ตาม คนทำงานกว่า 89% ยังต้องการเทคโนโลยีมาช่วยในการแนะนำวิธีการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ในอนาคต (40%) การเรียนรู้ทักษะที่พนักงานจำเป็นต้องพัฒนา (39%) และบอกขั้นตอนต่อไปเพื่อก้าวสู่เป้าหมายในอาชีพการงาน (37%) 82% ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตตามคำแนะนำของหุ่นยนต์ 88% เชื่อว่าหุ่นยนต์สามารถส่งเสริมหน้าที่การงานของพวกเขาได้ดีกว่ามนุษย์ด้วยการให้คำแนะนำที่ปราศจากอคติ (41%) ส่งต่อข้อมูลที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับทักษะในปัจจุบันหรือเป้าหมายที่ต้องการ (38%) อีกทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับอาชีพได้อย่างรวดเร็ว (37%) ผู้คนก็ยังเชื่อมั่นว่ามนุษย์มีบทบาทสำคัญมากในการพัฒนาอาชีพ

โดยเชื่อว่ามนุษย์สามารถให้การสนับสนุนได้ดีกว่าด้วยการให้คำปรึกษาตามประสบการณ์ของแต่ละคน (45%) การบอกจุดแข็งและจุดอ่อน (43%) และการพิจารณานอกเหนือจากข้อมูลใบสมัครงานเพื่อแนะนำตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (39%) ในจำนวน 91% เชื่อว่าบริษัทควรรับฟังความต้องการของพนักงานให้มากกว่านี้ และ 61% อยากทำงานกับบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยอย่างปัญญาประดิษฐ์มาส่งเสริมการเติบโตในอาชีพการงาน