“หมอตั๋ง” ทายาท รพ.สัตว์ตลิ่งชัน อาชีพที่มีความรักเป็นพื้นฐาน

นสพ.บูรพงษ์ สุธีรัตน์
นสพ.บูรพงษ์ สุธีรัตน์
ผู้เขียน : สองเราเคียงคู่

ต้องยอมรับว่า สังคมไทยทุกวันนี้ แทบทุกบ้านจะมี “สัตว์เลี้ยงแสนรัก” เป็นยาใจเจ้าของ และจากพฤติกรรมการเลี้ยงของคนรุ่นใหม่ (Pet Humanization) จะเลี้ยงเสมือนหนึ่งเป็นสมาชิกของครอบครัว ที่น่าสนใจตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตกระฉูดทุกปี คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดรวมจะพุ่งสูงถึง 66,748 ล้านบาทในปี 2569

แน่นอน ธุรกิจบริการดูแลและการรักษาสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะ “น้องหมา-น้องแมว” จึงเติบโตตามไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ หรือแม้แต่คนรุ่น Y2K ที่มีความรักเป็นพื้นฐาน เช่นเดียวกับ “หมอตั๋ง” นสพ.บูรพงษ์ สุธีรัตน์ กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชัน ทายาทที่เข้ามารับช่วงต่อจากครอบครัว

เปิดโปรไฟล์คุณหมอยืนหนึ่ง

นสพ.บูรพงษ์ สุธีรัตน์ มีอายุเท่ากับโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชันที่ก่อตั้งมา เป็นบุตรชายที่สืบต่อกิจการจาก คุณพ่อพงษ์ศักดิ์-คุณแม่ สพญ.สมบูรณ์ สุธีรัตน์ อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการสัตวแพทย์ภาคใต้ มีพี่ชายคือ นายแพทย์มติ สุธีรัตน์

“หมอตั๋ง” จบ ป.ตรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2545 จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านการผสมเทียมที่สหรัฐอเมริกา แต่ส่วนตัวสนใจเรื่องการผ่าตัดกระดูกในสัตว์เลี้ยงมากกว่า คุณหมอจึงเรียนรู้เพิ่มด้วยการเข้าอบรมหลักสูตร Basic, Advance และ Master AOVet และได้รับประกาศนียบัตรการเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

รวมถึงใบอนุญาตในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกของ BioMedtrix ที่สหรัฐ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ “ข้อสะโพกเทียม” มานานหลายสิบปี ปัจจุบันเป็นตัวแทนของบริษัท Intrauma จากอิตาลี ที่ให้คำชี้แนะเรื่องการใช้และแก้ปัญหากระดูกแตกหักในสัตว์เลี้ยงแก่ทีมสัตวแพทย์ผ่าตัดกระดูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ล่าสุด “หมอตั๋ง” ก็เพิ่งบินไปประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เพื่อให้ความรู้และอบรมสัตวแพทย์ที่สนใจเรื่องผ่าตัดกระดูกตามหลักวิชาการ ทำให้ตัวคุณหมอเองแทบไม่มีเวลา ยิ่งมีเคสผ่าตัดใหญ่แบบกะทันหัน วันนั้นทั้งวัน คุณหมอจะยกเวลาให้กับสัตว์เลี้ยงแสนรักทันทีแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะทุกชีวิตล้วนสำคัญ

ADVERTISMENT

คุณหมอเล่าว่า เดิมทีคุณแม่เป็นสัตวแพทย์อยู่แล้ว โรงพยาบาลนี้ก็เป็นธุรกิจพื้นฐานของครอบครัว สมัย 30 ปีที่แล้วจะเป็นคลินิกห้องแถวเล็ก ๆ ที่เสาชิงช้า เขตพระนคร ชื่อร้าน “เสาชิงช้ารักษาสัตว์” ผมก็อยู่ตั้งแต่เกิด เห็นเลือด เห็นคุณแม่ผ่าตัด เก็บร้าน เก็บบัตร ประวัติต่าง ๆ ก็ทำงานกับคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เด็ก

ADVERTISMENT

เราก็เห็นหมาแมว เห็นเลือดจนชิน ชีวิตวัยเด็กโอเคนะครับ เพราะเราได้เล่นกับหมาแมวทุกวัน โดยที่เราไม่ได้เป็นคนเลี้ยงเอง แต่ส่วนตัวก็มีหมาเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ เลย

“ผมได้ซึมซับจากสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา พอโตขึ้นก็มีเป้าหมาย เราจะทำอันนี้แหละ เรารักแบบนี้ นี่คือทางเรา พอเรียนจบก็รู้สึกชอบผ่าตัด เพราะจะทำให้เขาหายจากความเจ็บปวดเร็วขึ้น เห็นผลชัด เรียกว่าเปลี่ยนชีวิตเขาได้เลย ผมจึงพยายามเรียนต่อ แต่สุดท้ายเรารู้สึกว่า ไม่ค่อยชอบการผ่าตัดพวกเนื้อเยื่ออ่อน แต่ชอบผ่าตัดกระดูกมากกว่า”

เพราะการผ่าตัดเนื้อเยื่ออ่อน เราจะเจอความเสี่ยงของการเสียชีวิตค่อนข้างมาก เวลาที่เราผ่าไปนาน ๆ คิดว่าสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายน้องอาจไม่ไหว แล้วก็จากเราไป ทำให้เราเป็นทุกข์มาก ๆ กับการสูญเสีย จึงหันมาศึกษาเรื่องการผ่าตัดกระดูก เพราะเชื่อว่าการผ่าตัดแบบนี้จะไม่ทำให้ใครจากไปง่าย ๆ

ยิ่งถ้าเราได้ตรวจให้ละเอียดก่อนผ่า เราจะยิ่งมั่นใจ และมีความสุขกับสิ่งที่เราจะทำ เพื่อให้ชีวิตหนึ่งกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติในทุกวัน เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก เหมือนเด็ก ๆ กลับมาวิ่งเล่นได้ดี หรืออาจจะดีกว่าก่อนผ่าตัดด้วยซ้ำ

ประสบการณ์คือบทเรียนสอนใจ

ที่ผ่านมา ถามตัวเองเสมอจะทำยังไงให้ประสบผลสำเร็จได้ดีที่สุด ซึ่งใช้เวลากว่าสิบปีที่จะได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งไว้ คือมีทางเดียว “ต้องเรียนรู้” ตลอดเวลา บวกกับความตั้งใจจริงในการลงมือรักษา ร่วมกับทีมสัตวแพทย์

“ผมเชื่อนะว่า เมื่อเรามีความสุขที่ได้ช่วย พวกเขาก็จะได้รับความสุขจากสิ่งที่เราตั้งใจช่วยจริง ๆ ผลลัพธ์จะออกมาดี”

พูดถึงความรักความผูกพันกับสัตว์เลี้ยง ในชีวิตผมตั้งแต่จำความได้ก็มีหมาเป็นของเราเอง ดูแลเอง ตั้งแต่ยังเป็นลูกหมาตัวน้อยจนแก่ตายตามอายุขัย กิน นอน อยู่กับพวกเขาตลอด สมัยเด็ก ๆ บ้านเราเป็นห้องแถว เราก็เลี้ยงได้แต่ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะที่มีแค่นั้น มีอยู่วันหนึ่ง ด้วยเราเป็นเด็กไม่ได้ระวัง

เราเปิดประตูบ้านไปซื้อขนม สมัยก่อนประตูห้องแถวเป็นบานพับ ๆ แล้วมีช่องรูที่ใหญ่พอที่หมาเรารอดออกไปได้ เขาตามเราลงมาจากชั้น 2 พอลงมาข้างล่างเขาตื่นเต้น อยากเล่น เขาก็วิ่งรอดประตูออกไป รถก็วิ่งมาชนพอดี ภาพนั้นผมจดจำ ได้ยินเสียงร้อง ตัวน้องลอยจากพื้น ตายตรงนั้นเลย ผมร้องไห้แบบไม่มีลิมิต

บทเรียนครั้งนั้น ผมจึงแนะเสมอว่า ถ้าใครจะเลี้ยงหมาแมวควรมีที่กั้น และเก็บน้องในที่ปลอดภัยก่อนทุกครั้งเมื่อเปิดประตู หรือถอยรถเข้าบ้าน

สำหรับความประทับใจในวิชาชีพของผมมีไม่กี่อย่างครับ ผมแค่อยากให้พวกเขาหาย หายจากความเจ็บปวด หายจากการเดินสามขามาเดินสี่ขา หายจากความกังวล ความไม่สบายตัวของเขา ทุกครั้งที่เราเห็นผลลัพธ์ตามที่ฝันไว้ ผมบอกเลยว่าเป็นความประทับใจ ไม่มีเหตุการณ์ไหนพิเศษมากไปกว่านี้อีกแล้ว

หลักบริหารธุรกิจโรงพยาบาลและการลงทุนใหม่ ๆ ในปี 2566 “หมอตั๋ง” บอกว่า คงต้องรีโนเวตพื้นที่ และจัดหานวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะโรงพยาบาลสัตว์ตลิ่งชันเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2533 ตั้งแต่ผมอยู่ ม.1 พบเรียนจบก็มาเป็นพนักงานของโรงพยาบาล และเป็นหมอประจำที่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน หลัง ๆ คุณแม่ต้องพักแล้ว ผมก็เข้ามารับผิดชอบในช่วงวิกฤตโควิดพอดี ทั้งวางแนวทางธุรกิจ การเงิน การจัดการ

ที่ลงทุนไปแล้วจะมีพวกเครื่องมือทันสมัยต่าง ๆ เน้นการวินิจฉัยให้มากขึ้น ง่ายขึ้น ให้น้องเจ็บน้อยลง ทั้งอุปกรณ์การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในสุนัข ห้องผ่าตัดปลอดเชื้อแบบที่ใช้ในโรงพยาบาลคน แบบที่ปลอดเชื้อจริง ๆ การซื้อกล้องส่องตรวจ ซื้อกล้องส่องผ่าตัดในช่องท้อง

แล้วก็ทำร้านอาหารสำหรับเจ้าของมานั่งรอแบบสบาย ๆ ตอนนี้ก็เริ่มลงทุนปรับปรุงอาคาร ห้องพักสัตว์เลี้ยง ทำรีสอร์ตห้องแมว ห้องสุนัข ห้องสัตว์เลี้ยงพิเศษ ห้องตรวจ อาคารเครื่อง CT scan และ MRI เรียกว่าแทบทุกส่วนของโรงพยาบาลต้องให้ดูสะอาด ทันสมัยนิยม เพื่อตอบโจทย์เจ้าของสัตว์เลี้ยง

โรงแรมสัตว์ของเราจะมีห้องแยกสัตว์ที่มีปัญหาออกจากกัน เช่น สัตว์ป่วยทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร เห็บหมัด หรือเห่าไม่หยุด จุดสำคัญคือเน้นแยกสัตว์ที่ปกติให้มีพื้นที่ มีห้องพักที่กว้างขึ้น สวยขึ้น รวมทั้งมีห้องพักสำหรับเจ้าของที่ต้องการเฝ้าน้องภายในห้องเดียวกัน เหมือนเข้าพักในโรงแรมท่องเที่ยว สิ่งที่เราจะต่างจากที่ฝากเลี้ยงทั่ว ๆ ไปคือ มีหมอคอยดูแลตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน เพื่อระวังกรณีที่ไม่คาดคิด

ธุรกิจนี้ความสะอาด กลิ่นไม่พึงประสงค์ และการฆ่าเชื้อจะสำคัญมาก ๆ ต้องถูกหลักการ เราจะมีตู้ออกซิเจน ตู้ทำความเย็น หรือปรับร้อนให้ตามอุณหภูมิที่ต้องการ โดยควบคุมความชื้นได้ สิ่งเหล่านี้จำเป็นในการดูแลสัตว์ที่ไม่แข็งแรง

ปัจจุบันเรามีพวกเขาเป็นเพื่อน เราก็ต้องรักษาดูแล ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถช่วยให้เราเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้เร็วขึ้น โดยเริ่มจากคุณภาพเป็นหลัก ทั้งคุณภาพของบุคลากรทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่เราจะนำมาใช้ในการรักษา

ฉะนั้น การเลี้ยงสัตว์แสนรักจึงต้องมาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบ” นอกเหนือจากความรักและเมตตา เพื่อให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีและอยู่กับเราไปได้นาน ๆ