
โอกาสประเทศไทย เจาะลึกพืชเทรนด์ใหม่ “ไข่ผำ-วานิลลา” อาหารแห่งอนาคต ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต่อยอดเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ ตอบโจทย์ตลาดโลกชี้ผู้บริโภคแคร์เรื่องสุขภาพ รมว.เกษตรฯ หนุนผู้ผลิตใช้นวัตกรรมแปรรูป ชูโมเดลสร้างรายได้ยั่งยืนเร่งผลิตภัณฑ์-การตลาดแนวใหม่ C2C โปรโมตพืชอีก 14 ชนิด กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ฯลฯ
วันที่ 31 มกราคม 2568 “เทคโนโลยีชาวบ้าน” ผู้นำสื่อออนไลน์ด้านการเกษตรครบวงจร จัดงานสัมมนาแรกของปี “ไข่ผำ-วานิลลา : เจาะลึกโอกาสธุรกิจพืชเทรนด์ใหม่” โดยร่วมกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ อาคารข่าวสด บรรยากาศคึกคัก ประชาชนให้ความสนใจมาก
โดยได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นกล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ “ทิศทางพืชมูลค่าสูงและโอกาสของเกษตรไทย” พร้อมผู้บริหารภาครัฐสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ทั้งนี้ นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานเครือมติชน, นายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), น.ส.กรชุลี เสนะเวส ผู้อำนวยการกองบรรณาธิการเส้นทางเศรษฐีและเทคโนโลยีชาวบ้าน และคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ
พืช ศก.ตอบโจทย์ตลาด
ศ.ดร.นฤมลกล่าวว่า ไข่ผำไม่ใช่เรื่องใหม่ กระทรวงเกษตรฯดำเนินการมานานแล้ว ให้ทุนวิจัยศึกษาโอกาส ซึ่งพบว่าเป็นพืชที่มีโปรตีนสูง คุณภาพดี เป็นประโยชน์ต่อชาวโลกที่กำลังมีเทรนด์ความมั่นคงทางอาหาร โภชนาการเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่ความเพียงพอ ต่างชาติเห็นประเทศไทยมีบทบาทนำในด้านการเกษตร เนื่องจากสินค้าเกษตรของไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่หลายชนิด
ไข่ผำเป็นสิ่งที่กระทวงต้องการสนับสนุนต่อยอด ทั้งออกมาตรฐาน แนวทางปฏิบัติสำหรับฟาร์มที่เพาะเลี้ยงไข่ผำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ทำให้มนุษย์บริโภค และกลุ่มสำหรับปศุสัตว์ เป็นทางเลือกในการเพิ่มรายได้หมุนเวียนที่สูงมาก
กระทรวงเกษตรฯจะทำให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ในเรื่องการดูแลผู้ผลิต ไม่ใช่ผู้ส่งออก เนื่องจากเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป การค้าขายไม่ใช่ B2B อย่างเดียวแล้ว และไม่ใช่แค่ B2C ด้วย แต่ไปถึง C2C คือเกษตรกรขายตรงไปที่ผู้บริโภคได้เลย ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในพืชหลายชนิดของไทย
“กระทรวงเกษตรฯหวังว่า ท้ายที่สุดรายได้ของเกษตรกรต้องเพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น พ้นจากกับดักความยากจน”
สำหรับการเลี้ยงไข่ผำและการปลูกวานิลลา กระทรวงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดด้วยการใช้การตลาดนำ
นอกจากไข่ผำและวานิลลาแล้ว กระทรวงยังมีพืชอีก 14 ชนิดที่จะบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณปี 2569 ในการส่งเสริมเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่มีราคาดีขึ้น อาทิ กาแฟ โกโก้ ถั่วเหลือง ฯลฯ
สำหรับการส่งเสริมไข่ผำและวานิลลาสู่ตลาดต่างประเทศ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนได้นำไข่ผำและเส้นบะหมี่ที่ทำมาจากไข่ผำไปแสดงที่ International Green Week 2025 ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีเกษตรทั่วโลก ซึ่งได้รับความสนใจมากและมีโอกาสบุกตลาดโลกได้
ปัจจุบันไข่ผำเพิ่งเริ่มต้นในการเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ ระหว่างขยายผลจากกรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตรที่ร่วมขับเคลื่อน เป้าหมายคือเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรปีละ 10%
ดร.อนุวัฒน์ กำแพงแก้ว ผอ.กลุ่มวิจัยพืชอนาคตใหม่ กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า แม้ตอนนี้ยังไม่สามารถตีมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากอยู่ในระยะเริ่มต้น แต่ตลาดต่างประเทศต้องการมาก เช่น ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ผู้ประกอบการในภาคอีสานมีออร์เดอร์ 1 ตันต่อเดือน (เฉลี่ยไข่ผำสด 40 กก.จะได้ไข่ผำแห้ง 1 กก.) ราคา กก.ละ 2,500-4,000 บาท
แหล่งเพาะไข่ผำปัจจุบันมีภาคเหนือ อีสาน และตะวันออก เป็นลักษณะวิสาหกิจชุมชนที่ตื่นตัวมาก
วานิลลาแห้งคุณภาพดีที่ตลาดจีนขายอยู่ 50,000 บาทต่อ กก. ที่กลับมาเป็นกระแส เนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้ผลผลิตขาดตลาดเหมือนโกโก้
ทั้งไข่ผำและวานิลลา พร้อมต่อยอดสู่การแปรรูปเพิ่มมูลค่า และส่งออก เช่น ไข่ผำสดขาย กก.ละ 20-300 บาท เมื่อแปรรูปเป็นผงจะขาย 2,500-4,000 บาทต่อ กก.
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการไข่ผำ 9 รายที่ผ่านมาตรฐานการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร (มกษ.9001-2564) และพิจารณาอยู่อีก 12 ราย เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้จะประกาศใช้มาตรฐานใหม่ได้
ยิ่งแปรรูป มูลค่ายิ่งสูง
วานิลลา เครื่องเทศมีราคาแพงเป็นอันดับ 2 ของโลก ไทยเหมาะสมในการปลูก ด้วยสภาพภูมิอากาศ เติบโตดี ฝักใหญ่ หากส่งเสริมจะทำให้การแปรรูปและการตลาดไปได้ดี
“พาพร โตอินทร์” เจ้าของสวนแม่หม่อน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ที่ปลูกวานิลลาเจ้าแรก ๆ ใน อ.วังน้ำเขียว บอกว่า วานิลลาเป็นพืชมีมูลค่าสูง แม้ใช้เวลาปลูกนาน แต่เป็นพืชที่คุ้มค่า ความต้องการของตลาดมีสูงมาก
ปีแรก ๆ อาจยังไม่คุ้มทุน จะเริ่มกำไรปีที่ 3 เป็นช่วงที่ได้ฝักแห้ง ซึ่งการปลูกในระยะยาวจะได้ผลผลิตแบบคูณสอง สวนแม่หม่อนในปีแรกปลูกได้ 2,000 ฝัก ปีที่สอง 12,000 ฝัก รุ่นที่ 3 ได้ 25,000-30,000 ฝัก และปีนี้ที่กำลังออกดอกจะได้ผลผลิต 60,000 ฝัก ซึ่ง 1 กก.แห้งจะขายได้ 30,000 บาท ขึ้นอยู่กับตลาดด้วย
เริ่มแรกใช้เงินลงทุนในพื้นที่ 100 ตารางวา 200,000 บาท ไม่รวมค่าต้นพันธุ์ เสาหลักราว ๆ 200 เสา ความสูง 160 เมตร เพื่อการผสมเกสร ถ้ารวมโรงเรือน น้ำ วัสดุที่ปลูก ต้นพันธุ์ ฟาร์มจะขายปลีกที่ต้นละ 300 บาท ความยาว 1 เมตร
กว่าจะมาเป็นฝักวานิลลาที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใช้เวลารอต่ออีก 4-6 เดือน กรรมวิธีคือรอเวลาที่ฝักวานิลลาโตสมบูรณ์แล้วจึงนำมาบ่มต่อด้วยการลวก ห่อผ้าดำ และตากแดดจัดวันละ 2 ชั่วโมง ประมาณ 15 วัน และสโลว์ดราย 10 วันจนได้ความแห้งที่ต้องการ และบ่มอีก 2 เดือน เพื่อลดกลิ่นยางจากเปลือกไม้ให้หมดไป เหลือเพียงกลิ่นวานิลลาสุดเย้ายวนใจ
การสร้างมูลค่าเพิ่ม เมื่อมีการแปรรูปไปเรื่อย ๆ มูลค่าเพิ่มก็จะยิ่งสูงขึ้น เช่น หากขายเป็นฝักสดสีเขียว จะมีราคาอยู่ที่ 500-1,000 บาท/กก. ขึ้นอยู่กับขนาดของฝัก แต่เมื่อนำมาบ่มแห้ง จะมีราคาอยู่ที่ 15,000-20,000 บาท/กก. และนำมาทำแบบสกัด ใช้จำนวน 4-5 ฝักขนาดไม่ใหญ่มาก ผสมกับเอทิลแอลกอฮอล์ จะสามารถสร้างมูลค่าได้อีก โดยตกราคาขวดละ 250 บาท นำมาทำไอศกรีม ตกกระปุกละ 50 บาท เป็นต้น
พาพรบอกเล่าต่อว่า โลกร้อน กระทบกับการปลูกวานิลลาอย่างมาก เฉกเช่นเดียวกับสวนทุเรียน โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม เนื่องจากอากาศร้อนจัดและรังสีความร้อนที่สูงกว่าปกติ ส่งผลให้ใบและผลผลิตร่วงเป็นบางส่วน ในปี 2568 ทางฟาร์มวางแผนที่จะป้องกันด้วยการรดน้ำ พักใบ เป็นระยะสั้น ๆ ทุกชั่วโมงเพื่อลดอุณหภูมิ
สร้างงาน สร้างอาชีพ
สวนแม่หม่อนในช่วงปีแรก คิดคำนวณพื้นที่ 100 ตารางวา ใช้แรงงาน 1 คนก็เพียงพอ แต่วานิลลาเป็นพืชที่ต้องผสมเกสรด้วยมือเท่านั้น ในช่วงปีที่ 3 จึงใช้แรงงานจำนวน 2 คน และปีที่ 4 ใช้แรงงาน 3 คน แม้ว่าพื้นที่เท่าเดิม แต่ต้นมีความยาวมากขึ้น ติดดอกมากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้แรงงานคนที่เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ วานิลลายังถูกใช้ในการบำบัดผู้ป่วย คลายความเครียด ช่วยลดอัตราการเกิดซึมเศร้าได้อีกด้วย
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เภสัชกรรม และพฤกษศาสตร์ได้ศึกษาคุณสมบัติของวานิลลา พบว่า วานิลลามีคุณสมบัติการรักษาหลายอย่าง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ยับยั้งความรู้สึกเจ็บปวด ยับยั้งการก่อตัวของเนื้องอก ต้านการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ และช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของระบบประสาท รวมถึงคุณสมบัติที่ช่วยให้เกิดการผ่อนคลาย ลดระดับการผลิตสารที่เกิดจากความเครียดในสมองและภาวะซึมเศร้า
อย่างไรก็ตาม การใช้วานิลลาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ นักวิจัยยังคงต้องศึกษาและวิจัยต่อไป เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ปรากฏ ก็ชี้ชัดแล้วว่า วานิลลาเป็นพืชเศรษฐกิจที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน