“ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” (WHA Group) โชว์ผลงานครึ่งปีแรก 2565 กำไรสุทธิ 945.7 ล้านบาท จาก 4 ธุรกิจคึกคักต่อเนื่อง ครึ่งปีหลังจ่อเซ็นสัญญาขายที่ดินลูกค้ารายใหญ่ เพิ่มเติมอีก 600-700 ไร่ เร่งเจรจาซื้อที่ดินรวมอีกกว่า 2,000-3,000 ไร่ ในขณะที่ธุรกิจด้านโลจิสติกส์ โกยโครงการใหม่เพิ่มเติมเกือบ 100,000 ตารางเมตร
วันที่ 10 สิงหาคม 2565 นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรทั้งสิ้น 4,369.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 945.7 ล้านบาท
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
โดยหากพิจารณาถึงผลประกอบการปกติ บริษัทมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติ 4,403.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6% และกำไรปกติ 992.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นการสะท้อนศักยภาพการเติบโตของผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งจากทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ที่มีการเติบโตสอดรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ภาคการลงทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลเชิงบวกต่อภาพรวมธุรกิจของดับบลิวเอชเอกรุ๊ป
โดยธุรกิจโลจิสติกส์ มีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มเติมรวม 111,136 ตารางเมตร กับลูกค้ารายใหญ่ อาทิ กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มโลจิสติกส์ และยังมีสัญญาเช่าระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนสูง
ทางด้านธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จากนโยบายเปิดประเทศและมาตรการปลดล็อกการเดินทาง ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาทำธุรกิจ เยี่ยมชม และซื้อที่ดินสะดวก โดยกลุ่มนักลงทุนหลักเป็น ลูกค้าชาวจีน และสหรัฐ ทั้งธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ครึ่งปีแรกจึงมียอดขายที่ดินรวม 513 ไร่ สามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในไทย 704.0 ล้านบาท และเวียดนาม 1,398.0 ล้านบาท
และจากปัจจัยทางจิตวิทยาเชิงบวก ภายหลังความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐ-จีน-ไต้หวัน ที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากยิ่งขึ้น และเป็นแรงผลักดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้รับการติดต่อจากนักลงทุนชาวต่างชาติ ที่ขอเข้ามาเยี่ยมชมนิคมเพื่อการลงทุนเป็นจำนวนมาก
โดยเบื้องต้นคาดว่า ภายในไตรมาส 3 ปี 2565 จะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินเพิ่มเติมอีกกว่า 600-700 ไร่กับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายที่ดินรอการส่งมอบ (Backlog) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่กว่า 1,000 ไร่ และคาดว่าจะสามารถส่งมอบและรับรู้รายได้บางส่วนภายในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ นอกจากนั้น บริษัทยังได้มีการเจรจากับนักลงทุนอีกหลายรายที่มีความต้องการที่ดินรวมกันมากกว่า 2,000-3,000 ไร่
ธุรกิจสาธารณูปโภค (น้ำ) สามารถรับรู้รายได้ 6 เดือนแรก 1,285.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.7% มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำทั้งในประเทศและต่างประเทศ 75.1 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณการจำหน่ายน้ำภายในประเทศ 62.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์
สะท้อนถึงปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มปิโตรเคมีและกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ Gulf SRC ที่ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม และบริษัทมีปริมาณยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม (Value-Added Products) 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร
ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า รับรู้ส่วนแบ่งกำไรปกติจากการดำเนินงานจากการลงทุนในบริษัทร่วมและบริษัทร่วมค้าไม่นับรวมกำไร/ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 6 เดือนแรกของปี 2565 ที่ 383.4 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 2/2565 ได้มีการเซ็นสัญญาโครงการโซลาร์รูฟท็อปเพิ่ม จำนวน 13 สัญญา แบ่งเป็นโครงการ Private PPA จำนวน 10 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 21 เมกะวัตต์ และโครงการ EPC Service จำนวน 3 สัญญา กำลังการผลิตรวมประมาณ 3 เมกะวัตต์ สะสมกว่า 125 เมกะวัตต์
โดยจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) เพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติมอีก 2 เมกะวัตต์ ส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตโครงการโซลาร์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวม 62 เมกะวัตต์ โดยครึ่งปีแรก 2565 มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมตามสัดส่วนการถือหุ้นเท่ากับ 612 เมกะวัตต์