ส.อ.ท. ขอส่วนลดค่าไฟช่วย SMEs หวั่นขึ้นค่าแรง 1 ต.ค. ซ้ำเติมต้นทุน

เกรียงไกร เธียรนุกุล
เกรียงไกร เธียรนุกุล

ส.อ.ท. ชี้รัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์ หนุนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เพิ่มต่อเนื่องเดือนที่ 3 พร้อมยื่น 3 ข้อเสนอต่อรัฐ เตรียมป้องกันอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจ อำนวยความสะดวกนำเข้าแรงงานต่างด้าว ออกมาตรการบรรเทาปรับขึ้นค่าไฟ

วันที่ 13 กันยายน 2565 นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 90.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 89.0 ในเดือนกรกฎาคม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากปัจจัยในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น และภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้การบริโภคในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น สะท้อนจากความต้องสินค้าภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่บรรยากาศการท่องเที่ยวมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังการยกเลิก Thailand Pass รวมถึงมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในประเทศ

แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐและยุโรป ที่เผชิญปัญหาเงินเฟ้อ ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนชิป ส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์บางรุ่น เป็นปัจจัยลบต่อภาคการส่งออกของไทย

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากราคาวัตถุดิบ อาทิ อาหารสัตว์ เหล็ก และอะลูมิเนียม ค่าไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนด้านโลจิสติกส์ที่ทรงตัวในระดับสูง แม้ว่าในเดือนสิงหาคมต้นทุนด้านราคาน้ำมันจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม ตลอดจนปัญหาการขาดแคลนต่างด้าวในภาคการผลิต

สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 99.5 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 98.7 ในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากผู้ประกอบการมองว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวแบบช้า ๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราจ้างขั้นต่ำ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 รวมถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้ารอบใหม่ ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 จะส่งผลให้ต้นทุนประกอบการสูงขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ต่าง ๆ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย

จึงขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า และการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ อาทิ การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ผู้ประกอบการ SMEs, สนับสนุนงบประมาณเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ อำนวยความสะดวกในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการนำเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตมากขึ้น

และภาครัฐควรเตรียมมาตรการรับมือ เพื่อป้องกันผลกระทบกรณีเกิดอุทกภัยในพื้นที่เศรษฐกิจ รวมทั้งควรมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและน้ำแล้ง