กกร.ฟันธงปี 2566 GDP ไม่เกิน 3.5% หวังรัฐตรึงค่าไฟยาวทั้งปี

GDP-เศรษฐกิจไทย

กกร.ประเมินปี 2566 GDP ยังอยู่ในกรอบ 3-3.5 % ไม่เห็นสัญญาณบวก ด้านส่งออกร่วงเหลือ 1-2% จีนเปิดประเทศห่วงแรงงานภาคการท่องเที่ยวขาดแคลน ยังหวังรัฐตรึงช่วยค่าไฟยาวทั้งปี

วันที่ 11 มกราคม 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือน ม.ค. 2566 ว่า การผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดของจีนอาจจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป

แต่ในช่วงต้นของการผ่อนคลาย มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิตและการส่งออก ภาคการผลิตของจีนจึงหดตัวลงเพิ่มเติมในระยะนี้

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม การผ่อนคลายมาตรการควบคุมที่เข้มงวด คาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจจีนกลับมาเดินหน้าฟื้นตัวได้มากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ทำให้มีโอกาสที่เศรษฐกิจจีนจะสามารถเติบโตได้ระดับ 5% ตามเป้าหมายได้ หลังจากที่เติบโตต่ำกว่าเป้าหมายในปีที่ผ่านมา จะช่วยพยุงไม่ให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงมากเกินไป ในภาวะที่ยังเผชิญแรงกดดันจากราคาพลังงานในระดับสูง และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น

ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทย 11.1 ล้านคน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มากกว่าที่คาดการณ์ ช่วยให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องฟื้นตัวได้ โดยอัตราการเข้าพักโรงแรมในเดือน ธ.ค. 2565 อยู่ที่ 63% เข้าใกล้ระดับปกติที่ 77% และในปี 2566 นี้ มีปัจจัยหนุนจากการที่ประเทศจีนเปิดประเทศ โดยผ่อนคลายมาตรการกักตัวภาคบังคับ ตั้งแต่ 8 ม.ค. 2566 ซึ่งน่าจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้อาจสูงได้ถึง 20-25 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังคงมีความกังวลถึงปัญหาแรงงานในภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงขาดแคลน จึงจำเป็นที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาแนวทางในการดึงกลุ่มแรงงาน กลับเข้าสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวให้เพียงพอ ในการรองรับการฟื้นตัวดังกล่าวต่อไป

สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว แม้ว่าแนวโน้มของภาคการท่องเที่ยวจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ภาคการส่งออกมีสัญญาณการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาวะต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงตามราคาพลังงาน ค่าไฟฟ้า และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น เป็นความท้าทายของภาคเอกชน

กกร.

ที่ประชุม กกร. จึงคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทย GDP ในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3-3.5% (เดิม ขณะที่การส่งออกประเมินว่าจะขยายตัวในกรอบ 1-2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7-3.2%
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า กกร.ยังได้มีความเห็นเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ดังนี้

ผลกระทบต่อดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม จากการยกเลิกการผ่อนปรนเงินนำส่งกองทุน FIDF ให้กลับเข้าสู่อัตราปกติที่ 0.46% ต่อปี จากเดิมอยู่ที่ 0.23% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นไป ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.4% ต่อปี ตามที่ได้เคยปรับลดไปช่วงก่อนหน้า

โดยสมาคมธนาคารไทยยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม ตรงจุด และทันการณ์ ครอบคลุมทั้งการลดภาระทางการเงิน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เดิม พร้อมทั้งจะเร่งผลักดันมาตรการอื่น ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อการปรับตัวภายใต้ พ.ร.ก.ฟื้นฟูฯ เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับกระแสเทคโนโลยีดิจิทัล การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต รวมถึงโครงการพักทรัพย์พักหนี้ สำหรับลูกหนี้ธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งนี้ จะได้มีการติดตามความคืบหน้าและประสิทธิผลของมาตรการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สำหรับประเด็นค่าไฟฟ้า (Ft) ที่ในช่วงที่ผ่านมา กกร.ได้มีข้อเสนอแนะและหารือกับรัฐบาล เพื่อหาแนวทางออกที่เหมาะสมเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าไฟ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อต้นทุนพลังงานของภาคเอกชน กกร.ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่ได้รับฟังเสียงสะท้อนของภาคเอกชน ถึงแม้ไม่ได้ตรึงราคาตามข้อเสนอของภาคเอกชน ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอาจต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงบางส่วน โดยไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังหวังว่าตลอดทั้งปีนี้รัฐบาลจะมีมาตรการในการดูแลค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากทุกภาคส่วน โดย กกร.ได้มีการจัดตั้งคณะทำงาน task force ด้านพลังงาน เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs วางแผนและนำเสนอแนวทางที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการด้านพลังงาน


โดยภาคเอกชนก็พร้อมที่จะปรับตัวในการใช้พลังงานทางเลือกให้เหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และมีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตภายใต้เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงในปีนี้ โดยจะต้องวางแผนในระยะยาวให้มีความสมดุลทั้งด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ การดูแลสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการแข่งขันต่อไป