เศรษฐกิจในประเทศ

ราคาน้ำมันเดือนกรกฎาคม 2566 สุดโหด ขึ้น-ลง 13 ครั้ง เบนซินขึ้นแล้ว 3.20 บาท/ลิตร

เติมน้ำมัน

ราคาน้ำมันเดือนกรกฎาคม 2566 สุดโหด ปรับขึ้น-ลง 13 ครั้ง เบนซินขึ้นแล้ว 3.20 บาท/ลิตร จับตาเดือนสิงหาคมยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อ ในกรอบ 78-85 เหรียญ

สถานการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศมีการปรับตัวอย่างหวือหวาตลอดทั้งเดือนกรกฎาคม 2566

จากที่ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูล อัพเดต ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 พบว่า ตั้งแต่วันที่ 4-26 กรกฎาคม 2566 ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศมีการปรับขึ้น-ลง รวมกัน 13 ครั้ง โดยเป็นการปรับขึ้น 11 ครั้ง และเป็นการปรับลดลง 2 ครั้ง 

สำหรับน้ำมันเบนซินคิดเป็นการปรับขึ้นสุทธิ 3.20 บาท/ลิตร ส่งผลให้ล่าสุด ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 46.14 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 38.35 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 38.08 บาท/ลิตร, E20 อยู่ที่ 36.04 บาท/ลิตร, E85 อยู่ที่ 36.49 บาท/ลิตร, พรีเมี่ยม แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 42.94 บาท/ลิตร 

ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล B7 คงเดิมอยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร, ดีเซล B10 อยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร, ดีเซล B20 อยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร 

และยกเว้นพรีเมี่ยมดีเซล B7 ที่มีการปรับขึ้น 2 ครั้ง เพิ่มขึ้น 1.50 บาท/ลิตร อยู่ที่ 40.44 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันยังคงเป็นที่น่าจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเป็นผลจากคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม ราคา ICE Brent จะเคลื่อนไหวในกรอบ 78-85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 81.07 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล กลับมาเหนือระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 6 วัน จากสถานการณ์สงครามยูเครนและรัสเซียตึงเครียด

โดยมีปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก อาทิ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบเพื่อกดดันเงินเฟ้อ ขณะที่ปัจจัยจากคลื่นความร้อนทั่วโลกทำให้ต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น จีนมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากขึ้น 

แต่อีกด้านหนึ่งมีการประเมินว่าคาดการณ์อัตราการขยายตัวของของจีนปรับลดลงจาก 5.5% เหลือ 5% ขณะที่ซัพพลายน้ำมันดิบในตลาดโลกจากเวเนซุเอลามีแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบสู่ระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในปี 2566 โดยจะส่งออกราว 60% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด