“บี.กริม” จากร้านปรุงยา สู่ธุรกิจอายุ 150 ปี รายได้แสนล้าน

บี.กริม

จากจุดเริ่มต้นธุรกิจร้านปรุงยาตำรับตะวันตกแห่งแรกของประเทศไทย “สยามดิสเป็นซารี่” และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นร้านยาหลวงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จุดเริ่มต้นของปรัชญาแห่งการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารีของ บี.กริม

สู่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน พร้อมสยายปีกสู่ 6 กลุ่มธุรกิจ ที่กำลังเดินหน้าจากบริษัทอายุ 145 ปี ก้าวสู่ 150 ปี ในปี 2030 เพื่อสร้างรายได้ 1.5 แสนล้านบาท

ทุ่ม 4.1 แสนล้านลงทุน 5 ปี

นายนพเดช กรรณสูต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการลงทุน นวัตกรรม และความยั่งยืน และสายงานธุรกิจในประเทศไทยและมาเลเซีย บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่ม บี.กริม วางงบฯลงทุน 5 ปี (2567-2573) รวม 410,000 ล้านบาท โดย บี.กริม เพาเวอร์ลงทุนเอง 68,000 ล้านบาท และอีกส่วนจะหาแหล่งเงินทุนมาสนับสนุนโครงการ

นพเดช กรรณสูต
นพเดช กรรณสูต

ปัจจุบันมีกระแสเงินสด 10,000 ล้านบาท แต่ระหว่างการก่อสร้างจะมีโครงการที่เริ่มผลิตกระแสเงินสดเข้ามาสนับสนุนการเติบโตอีก 43,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะต้องมีการระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้เพิ่มเติมหรือหาช่องทางการเงินอื่น ๆ ตลอดจนหาพันธมิตรทางกลยุทธ์ประมาณอีก 15,000 ล้านบาท

เดินหน้ากลยุทธ์

บี.กรีม เพาเวอร์ เดินหน้าตามยุทธศาสตร์ระยะยาว “GreenLeap-Global and Green” โดยมุ่งเน้นทั้งหมด 3 ด้าน ได้แก่ Supply คือ การนำเข้าเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า ซึ่ง บี.กริม ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้นำเข้าก๊าซธรรมชาติ (LNG Shipper License) โดยมีโควตาทั้งหมด 1.2 ล้านตัน คาดว่าจะเริ่มนำเข้าได้ภายในครึ่งปีหลังของปี 2567 ประมาณ 4-5 ลำเรือ หรือประมาณ 250,000 ตัน เพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าของ บี.กริม เพาเวอร์ 23 แห่ง

ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับซัพพลายเออร์ คาดว่าแหล่งก๊าซธรรมชาติที่จะมีการนำเข้านั้นจะมาจากหลายแหล่ง ทั้งในสหรัฐและแอฟริกา และกำลังรอการอนุมัติจาก Pool Manager อยู่ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานรูปแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ หรือแม้แต่ไฮโดรเจนสีเขียวเพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด โดย มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้มากกว่า 50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าในปี 2573

ADVERTISMENT

กลยุทธ์ Generation ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่ออุตสาหกรรม โดยใช้ก๊าซธรรมชาติในการปล่อยความร้อนร่วมกับกังหันก๊าซ ทั้งยังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงสะอาดในอนาคต อาทิ โซลาร์ฟาร์มและกังหันลม

และ Distribution เป็นการพัฒนาสาธารณูปโภคให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการดูแลกลุ่มลูกค้าของเราในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยใช้ “Energy Solution” รวมถึงการพัฒนา B.Grimm Smart Utilities Project เพื่อพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้ทันสมัย สอดคล้องกับเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ด้วยการใช้ระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่แข็งแรงผ่านโครงข่ายไฟฟ้า Smart Micro Grid พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เป้าหมายสู่ 1 หมื่น MW

“เรามีเป้าหมายจะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 4,400 เมกะวัตต์ในปี 2568 มุ่งสู่ 10,000 เมกะวัตต์ในปี 2573 ซึ่งปัจจุบันเรามีโครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างทั้งในประเทศไทย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อิตาลี และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์”

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมาได้ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดในประเทศเกาหลีใต้ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 โครงการที่มีกำลังการผลิตรวม 122.49 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนา 1 โครงการอีกกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตติดตั้งและได้เปิดดำเนินการ (COD) รวม 3,970 เมกะวัตต์ ซึ่งหากรวมโครงการซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนาอีก 12 โครงการ จะมีกำลังการผลิตรวมเป็น 4,623 เมกะวัตต์”

ในปี 2567 เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้อีก 600-800 เมกะวัตต์ ในกรอบเงินลงทุน 10,000-15,000 ล้านบาท ก็เดินหน้าได้อย่างราบรื่น เพราะ บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในโครงการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) ให้กับรัฐบาล 15 โครงการ กำลังผลิตรวม 339.3 เมกะวัตต์ ซึ่งปัจจุบันเตรียมพร้อมจะเข้าร่วมโครงการพลังงานหมุนเวียนในรอบ UGT2 แล้ว

ธุรกิจให้เช่าความเย็น

นายกิตติ พัฒนลีนะกุล ประธานกลุ่มธุรกิจ บี.กริม อุตสาหกรรม กล่าวว่า บี.กริม อุตสาหกรรม มีเป้าหมายที่จะสร้างการเติบโตของรายได้ในระยะยาวถึง 3 เท่าภายในปี 2573

กิตติ พัฒนลีนะกุล
กิตติ พัฒนลีนะกุล

โดยจากผลการดำเนินงานในปี 2566 พบว่า มียอดขายเติบโตขึ้น 14% หรือประมาณ 17,000 ล้านบาท สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอื่น เป็นผลจากระบบปรับอากาศแคเรียร์ ที่ขึ้นมาติด 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจระบบปรับอากาศในประเทศไทย จากการเดินหน้าสร้างแบรนด์ สนับสนุนจากพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย รวมถึงการเปิดตัวนวัตกรรมและบริการใหม่

“ปีนี้ตั้งใจจะปล่อยโครงการ Cooling As a Service โดยใช้ระบบ Pay-Per-Use หรือใช้เท่าไหร่จ่ายเท่านั้น ยกตัวอย่าง ห้างสรรพสินค้าใหญ่รายหนึ่งจะต้องลงทุนติดตั้งเครื่องปรับอากาศเองทั้งหมด แต่ในโครงการนี้เราจะเข้าไปเป็นผู้ลงทุนเครื่องปรับอากาศให้แล้วก็บริหารความเย็นให้เขาทั้งห้างสรรพสินค้า โดยห้างสรรพสินค้าจะเช่าเท่าที่ใช้งานในแต่ละวันเท่านั้น”

รุก EV ชาร์จ

นอกจากนี้ ยังมีการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า โดยชูจุดเด่นเรื่องการบริการแบบครบวงจร โดยปีนี้ตั้งเป้าจะขยายธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะติดตั้งเพิ่มอีก 100 หัวชาร์จจากปีก่อน 70 หัวชาร์จ ภายใต้แพลตฟอร์ม EV Fleet ระบบรถบรรทุกและรถเครือข่ายภายในบริษัท รวมถึงขยายไปในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม”

ขณะเดียวกันยังมีการขยายธุรกิจไปสู่การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์แบบ EPC ให้บริการติดตั้งแบบเบ็ดเสร็จ หรือ Turn-Key ตั้งแต่การออกแบบ ติดตั้ง จนจบกระบวนการ และพัฒนาโซลูชั่นเพื่อสุขภาพที่ดีแก่ผู้ใช้อาคาร หรือ Healthy Living Solution ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีระบบไฟ UV-C ยับยั้งเชื้อโรคในระบบปรับอากาศ ซึ่งมีการติดตั้งในห้างสรรพสินค้าเครือเซ็นทรัลแล้วกว่า 6 แห่ง และมีแผนขยายไปยังสถานที่ต่าง ๆ ต่อเนื่อง ตอนนี้กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มจัดการพลังงานที่เชื่อมโยงทุกระบบในอาคารช่วยลดการใช้พลังงาน

ชิงตลาดยาสามัญ

นายกิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บี.กริม ฟาร์มา กล่าวว่า ปัจจุบันเรามีสินค้าครอบคลุมผลิตภัณฑ์ยา และเวชภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศ รวมถึงนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 450 ผลิตภัณฑ์ ใน 4 กลุ่มยา ได้แก่ 1.กลุ่มยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด 2.กลุ่มยารักษาโรคระบบประสาทและจิตเวช ซึ่งเราเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มยาประเภทนี้ 3.กลุ่มยารักษาโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ ครอบคลุมยาต้านอักเสบ และ 4.กลุ่มยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร

กิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์
กิตติศักดิ์ ดำรงธนานุรักษ์

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเวชสำอางมากกว่า 50 ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจอาหารเสริมอีก 110 ผลิตภัณฑ์ โดยมีการจัดจำหน่ายใน 26 ประเทศทั่วโลก ตลาดสำคัญ คือ ไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย

โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดยาในเมืองไทย มีมูลค่ารวม 178,000 ล้านบาท บี.กริม ฟาร์มา มียอดขายกว่า 3,300 ล้านบาท เป็นอันดับ 3 ของผู้นำในตลาดยาสามัญ ซึ่งเรามีเป้าที่ก้าวสู่อันดับ 1 ในตลาดยาสามัญในปี 2573

“ปีนี้เป็นโอกาสดีที่จะเจาะเข้ากลุ่มตลาดยาสามัญ เพราะสิทธิบัตรยาทำเงินหลายตัวกำลังจะหมดลง ตลาดยาสามัญนับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ โดยจะเจาะตลาดยารักษาโรคเบาหวานและมะเร็งในปีนี้เตรียมปล่อยยาเบาหวานออกมาก่อนช่วงกลางปี โดยมีแผนระยะยาวที่ปล่อยยาและเวชภัณฑ์อีก 50 รายการใน 7 ปี หลังสิทธิบัตรยาหมดลงเป็นเจ้าแรก (First to Market) และมีแผนจะศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนายาสิทธิบัตรในอนาคต”