
กกร. เตรียมถก “แพทองธาร” นายกฯใหม่พรุ่งนี้ (23 สิงหาคม 2567) “เกรียงไกร” ยืน 3 ข้อเสนอต้องช่วย SMEs เร่งด่วน แก้ปัญหาสินค้าทะลักไทยให้ได้
วันที่ 22 สิงหาคม 2567 รายงานข่าวระบุว่า วันพรุ่งนี้ (23 สิงหาคม 2567) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะทยอยเข้าหารือกับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและการขับเคลื่อนนโยบายร่วมกัน ณ อาคารชินวัตร ในเวลา 11.00 น.
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท. พร้อมคณะกรรมการบริหารได้ขอเข้าพบกับนายกฯ เพื่อร่วมนำเสนอแนวทางความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
โดยเฉพาะเรื่องของการขอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าและเร่งด่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่เอกชนเน้นย้ำเสมอและไม่เปลี่ยนจากเดิม คือ 1.นโยบายช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพราะขณะนี้ต้นทุนทุกอย่างสูงขึ้นทั้งวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ค่าไฟและน้ำมัน รวมถึงค่าแรงที่กำลังจะปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 สิ่งเหล่านี้คาดหวังให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไข ว่าจะทำอย่างไรให้ต้นทุนเหล่านี้ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งในระบบและนอกระบบที่ยังคงสูงมาก
2.เงินทุน SMEs ด้วยรายย่อยกำลังขาดออกซิเจน คือการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และขณะนี้ธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ หลายธนาคารได้ประกาศลดเป้าหมายของการปล่อยสินเชื่อ โดยเม็ดเงินที่จะปล่อยได้ถูกจำกัดและลดลงไปอีก จึงไม่สอดคล้องกับความต้องการที่มหาศาล รัฐบาลต้องหาเม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเติมเงินเข้าไปให้ SMEs ได้เข้าถึงแหล่งเงิน ที่นอกจากธนาคารพาณิชย์แล้วจะต้องมีกลไกอื่นมาเติมให้สู้ต่อไปได้
3.สินค้าราคาถูกต่างประเทศเข้ามาแย่งตลาด ที่ขณะนี้ได้ทะลักมาทุกทิศทุกทาง จนท่วมตลาดทั้งในไทยและภูมิภาค ส่งผลให้ SMEs ไทยแข่งขันไม่ได้ จนต้องปิดกิจการมากมาย เหมือนช่วง 6 เดือน มกราคม-พฤษภาคม 2567 ปิดกิจการกว่า 667 แห่ง เป็นขนาดมูลค่ากิจการที่ 20 ล้านบาท เป็นกิจการของคนไทยเกือบ 100% ในขณะที่โรงงานที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่ขอการสนับสนุนจาก BOI และส่วนใหญ่เป็นต่างชาติเกือบทั้งหมดที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 140 ล้านบาท
ดังนั้น มาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลจะป้องกันต้องดีพอและตรวจตั้งแต่การนำเข้า มีการตรวจสอบ 100% ทำตามกฎเกณฑ์ที่อยู่ในขอบเขตและต้องทำอย่างเต็มที่ จะต้องระมัดระวังโดยไม่ให้เกิดความบาดหมางกัน ทำตามมาตรฐานสากลทั่วโลกที่มีเกณฑ์อยู่แล้ว เหมือนเวลาที่ประเทศไทยส่งสินค้าจากไทยไปจีน ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นที่เข้าตรวจในตู้คอนเทนเนอร์ของทางเข้าที่ทั่วโลกยอมรับ ซึ่งไทยตรวจต่ำกว่ามาตรฐานมาก
สำหรับการแก้ปัญหาระยะกลาง และยาวมีหลายเรื่องที่ต้องทำ อาทิ การศึกษา ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม แก้กฎหมายเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น และการสร้างบุคลากร