เทียบฟอร์ม การแก้โลกร้อน ปี’67 ทำไม “ไทยแย่กว่าจีน”

โลกร้อน

หากคุณเชื่อว่า “โลกเดือด” จะมองเห็นภาพว่า “การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน” เป็นสิ่งจำเป็นในยุคที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นปัญหาสำคัญของไทยและโลก เป็นคำกล่าวของ “อาทิตย์ เวชกิจ” รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100) ในฐานะผู้คร่ำหวอดในแวดวงพลังงาน

ทั้งในส่วนของคณะอนุกรรมาธิการด้านการปรับปรุงโครงสร้างพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน คณะกรรมการแก้กฎหมายพลังงานสะอาด ภายใต้คณะกรรมการเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ในยุครัฐบาลเศรษฐา และกรรมการในโครงการจัดทำ Thailand Taxonomy กล่าวในหัวข้อ Energy Transition for Climate Change หลักสูตรการบริหารจัดการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ETC) รุ่นที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า

ปัจจุบันเรื่องการเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) เป็นเรื่องที่ทำทั้งโลก และจำเป็นที่เราต้องทำให้สำเร็จ

โดยเรามีเป้าหมายที่จะทำให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา แต่เพียงแค่ปลายปีก่อน (2566) อุณหภูมิโลกก็เพิ่มมา 1.3 องศาแล้ว ซึ่งไทยอยู่ในโหมด “ที่น่าห่วง” มาก แม้ว่าจะไปให้ความผูกพันในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) แล้ว

แต่จากภาพ (กราฟิก) ที่สำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ยังสะท้อนว่าปัจจุบันไทยยังอยู่กลุ่มประเทศสีเทาดำ หรือ Critical Insufficient ที่ดำเนินการเรื่องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases : GHG) ได้ “ไม่ไปถึงไหน” และอยู่ในกลุ่มที่แย่กว่าจีน

ก๊าซเรือนกระจก

ADVERTISMENT

เปลี่ยนก่อนวิกฤต

เหตุผลสำคัญที่ไทยต้องเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง Climate Change มากเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ทั้ง ๆ ที่ไทยปล่อย GHG เพียงแค่ไม่ถึง 1% ของโลก

ซึ่งภาคพลังงานและภาคขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ประมาณ 70% ดังนั้น ไทยต้องมาจัดการกับการปล่อยเจ้าก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีทั้งหมด 7 ตัว โดยมุ่งเป้าที่ “คาร์บอนไดออกไซด์” ก่อนเป็นตัวแรก เพราะมีสัดส่วนประมาณ 80% ของทั้งหมด และเป็นตัวที่จัดการง่ายที่สุดถ้าเทียบกับตัวอื่น ๆ ที่มีสัดส่วนน้อยกว่า แต่อานุภาพรุนแรงมากกว่า ซึ่งเป้าหมายเราต้องลดปล่อยคาร์บอน 30% ในปี 2030

ADVERTISMENT

เปลี่ยนจากแรงกดดันจากคู่ค้า

แรงกดดันที่เป็นตัวเร่ง ทำให้ไทยต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สิ่งแรกคือ ชีวิตของลูกหลานเราในอนาคต ถ้าเราไม่ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แล้วรอจนทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น ๆ จนไปถึง 4 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าในอนาคตมีโอกาสที่จะเห็นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และสิ่งมีชีวิตจะอยู่ไม่ได้ เชื้อโรคชนิดใหม่เกิดขึ้น ลูกหลานเราคงจะอยู่ไม่ได้ สิ่งมีชีวิตหลายอย่างอาจจะสูญพันธุ์

แรงกดดันลำดับรองลงมาเกิดจากคู่ค้า จากมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือที่เรียกว่า CBAM ย่อมาจาก Carbon Border Adjustment Mechanism ซึ่งทางสหภาพยุโรป (อียู) เริ่มบังคับใช้ไปแล้วเมื่อปีก่อน และหลายคนมองว่าเรื่องนี้เป็นมาตรการกีดกันทางการค้า แต่จริง ๆ แล้ว อียูเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการลดการปล่อย GHG มากว่า 20 ปีแล้ว

CBAM กำหนดให้สินค้าต่างประเทศที่นำเข้าไปยังอียู จะต้องบวกต้นทุนคาร์บอนเข้าไปในราคา เพื่อให้เกิดความยุติธรรมระหว่างสินค้าที่ผลิตภายในยุโรปที่มีการบวกต้นทุนเรื่องการปล่อยคาร์บอนอยู่แล้วกับสินค้านำเข้า สมมุติการปล่อยคาร์บอน 1 กิโลคาร์บอน สินค้าที่อียูผลิตจะต้องบวกราคาคาร์บอนไปอีก 85 ยูโร

สินค้าจากผู้ผลิตนอกอียูบางประเทศจะเริ่มเดือดร้อน โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้มีการเก็บภาษีคาร์บอน อย่างไทยที่ยังคงใช้ “มาตรการลดคาร์บอนภาคสมัครใจ” อยู่ ก็มีความเสี่ยงที่สินค้าที่ผลิตโดยไม่ใช้พลังงานสะอาดจะต้องจ่ายต้นทุนคาร์บอนให้กับยุโรป

ดังนั้น รัฐจึงมีแนวทางแก้ไข ทั้งเร่งการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RE) รองรับภาคการผลิต และเดินหน้าในการออกกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขึ้นมา เตรียมใช้มาตรการ “ภาษีคาร์บอน” โดยจะนำร่องในสินค้าส่งออกก่อน เพื่อเป็นการเฆี่ยนตีตัวเองก่อนที่จะส่งออกสินค้าไปยังยุโรป

เพราะหากไทยเก็บภาษีเอง เงินที่เราเก็บภาษีคาร์บอนแล้ว สินค้าไทยจะไม่ต้องเดือดร้อนกับ CBAM ทั้งยังสามารถนำเงินนั้นมาใช้บริหารจัดการภายในประเทศของเราได้อีกด้วย เช่น ถ้าส่งไปอียูโดยไม่มีภาษีคาร์บอนของไทยเอง จะต้องเสียภาษีนำเข้า 20% แต่หากมีการเก็บภาษีคาร์บอนในประเทศจะเสียภาษีคาร์บอนเพียง 10% เท่านั้น เป้าหมายนี้อียูเพียงต้องการให้เกิดความยุติธรรมกับสินค้าที่อียูผลิต และต่อ ๆ ไปประเทศต่าง ๆ จะมีการออกกฎหมายคล้าย CBAM ออกมา

และการที่บริษัทชั้นนำต่าง ๆ ในโลก ประกาศเป้าหมายการเข้าสู่การใช้พลังงานสะอาด 100% หรือ RE100 ก็จะเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องเร่งจัดหาพลังงานสะอาดให้กับนักลงทุนทั่วโลกก่อนที่นักลงทุนเหล่านี้จะหนีหายจากประเทศไทยไปหาประเทศอื่น ที่สามารถหาพลังงานสะอาดสำหรับพวกเขาได้

แรงผลักอันที่ 3 เกิดจาก “พฤติกรรมของผู้ซื้อ” ในตลาดยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยพบผลวิจัยระบุว่า ผู้ซื้อ 46% จะเลือกซื้อสินค้าที่เป็นสินค้าโลว์คาร์บอน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเจเนอเรชั่น Z และ Millennium เป็นกลุ่มที่ยอมจ่ายแพงขึ้น เพื่อดูแลโลกมากที่สุดเกือบ 50% แม้ว่าราคาสินค้าโลว์คาร์บอนจะเพิ่มกว่า 9.7% ดังนั้น ผู้ผลิตสินค้าที่ไม่ให้ความสำคัญต่อการลดคาร์บอนในกระบวนการผลิตสินค้าจะอยู่ไม่ได้

2 พลัง ลดการปล่อย GHG

แนวทางสำคัญที่จะก้าวสู่การลดการปล่อย GHG อย่างมีประสิทธิภาพ จะมี 2 แนวทาง โดยควรเริ่มจากการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มสัดส่วนการผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable) ให้มากขึ้น จากปัจจุบันไทยมีพลังงานเป็นอันดับ 51 ของโลก

โดยมีข้อมูลปรากฏว่า การลงทุนด้วยเม็ดเงินเท่ากัน ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จะช่วยให้เซฟได้ถึง 37% มากกว่าการผลิตพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable จะช่วยเซฟได้ 32% ดังนั้นหากดำเนินมาตรการทั้งสองวิธีรวมกันจะลดได้ถึงเกือบ 70%

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยและประเทศต่าง ๆ มักจะให้ความสำคัญกับการดำเนินแนวทางในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน มากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพราะเป็นเรื่องที่ทำง่าย และเห็นภาพชัดเจน จึงมักจะดำเนินงานในลักษณะกิจกรรม CSR เท่านั้น

ขณะที่การจะเพิ่ม Renewable ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ด้วยความท้าทายจากกฎระเบียบอีกหลายเรื่องที่เป็นข้อจำกัดในการพัฒนาเรื่องนี้ ยกตัวอย่าง เช่น โรงงานที่จะติด Solar Rooftop บนหลังคาขนาดเกิน 1 เมกะวัตต์ จะต้องขออนุญาตกับกรมโรงงานฯ ที่เรียกว่า ขอใบ รง.4 ซึ่งประเด็นนี้ทำให้โรงงานจำนวนมากถอดใจ และยังไปผูกกับผังเมืองอีก ยิ่งจำกัดการขยายโซลาร์ฟาร์มขนาดใหญ่

ซึ่งตอนนี้คงต้องลุ้นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมายเพื่อปลดล็อกเรื่องการขอใบ รง.4 ก็อาจจะทำให้ในอนาคตมีโรงงานที่จะสามารถเพิ่มพลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น และลุ้นการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ฉบับใหม่ที่จะเร่งเพิ่มสัดส่วนการผลิต RE มากเกินกว่า 50% เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ปี 2050

วิธีการเพิ่ม Efficiency

กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน สำหรับองค์กรต่าง ๆ เริ่มจากสิ่งแรกที่เราจะต้องรู้ ก็คือองค์กรของเรามีขั้นตอนในการผลิตอะไรที่มีการปล่อยคาร์บอนมากที่สุด และเราจะต้องไปลดตรงส่วนนั้นก่อน

โดยการลดการใช้พลังงานหรือเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน เราก็จะต้องรู้จักเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และดูเงินในกระเป๋าของเราด้วย

ทั้งนี้ วิธีการเพิ่ม Efficiency สามารถทำได้หลายวิธี แต่ทุกคนต้องเข้าใจก่อนว่าการเพิ่ม Energy Efficiency หมายถึงการที่เรายังใช้พลังงานอยู่มากเท่าเดิม แต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพหรือประสิทธิผลจากการใช้พลังงานได้มากขึ้น ซึ่งจะไม่ใช่อันเดียวกับการอนุรักษ์พลังงาน หรือ Energy Conservation ซึ่งจะเป็นการประหยัดพลังงาน

ยกตัวอย่าง เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่นำมาใช้ในการเพิ่ม Energy Efficiency ให้กับภาคอุตสาหกรรม อย่างเช่น การใช้ “Heat Pump” เป็นเทคโนโลยีในการดึงความร้อน เพื่อมาใช้ผลิตพลังงานความร้อนสำหรับใช้ในอุตสาหกรรม เป็นต้น

ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน

ตัวช่วยสำคัญที่จะมาทำให้คนที่ยังมีปัญหาในการเพิ่ม Energy Efficiency ในองค์กรอาจจะเลือกใช้ตัวช่วยที่เรียกว่า ESCO (Energy Service Company : ESCO) ผู้ให้บริการบริหารจัดการพลังงานครบวงจร ตั้งแต่การคำนวณว่าเรามีการใช้พลังงานเท่าไหร่ ควรจะต้องประหยัดเท่าไหร่ ติดตั้งอุปกรณ์อย่างไรจึงจะคืนทุนไว ใช้เม็ดเงินลงทุนเท่าไหร่ รวมถึงจัดหาแหล่งเงินทุนให้เราแบ่งปันผลประโยชน์กับเราเหมือนเป็นเพื่อนคู่คิดในการบริหารจัดการด้านพลังงานในองค์กรของเรา

ส่วนตัวช่วยทางการเงิน ตอนนี้มีธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังเดินต่อโครงการ Taxonomy ช่วยจัดกลุ่มกิจกรรมลดคาร์บอน แบ่งเป็น กล่องสีเขียว เหลือง แดง โดยหลังจากเฟสแรกกำหนดกิจกรรมสำหรับธุรกิจภาคพลังงานและขนส่ง ขณะนี้ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังขยายทำเฟส 2 จะเสร็จในเดือนตุลาคมนี้ โดยจะขยายไปยังกิจกรรมในประเภทธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากภาคพลังงานและภาคขนส่ง

ดังนั้น หากผู้ประกอบการรายใดมีกิจกรรมปล่อยคาร์บอนน้อยเป็นเด็กดีจะได้จัดอยู่กล่องสีเขียว ซึ่งจะเหมือนได้ใบเบิกทางไปขอสินเชื่อจากธนาคาร หรือกรีนโลนต่าง ๆ ทำให้มีเงินมาลงทุนพัฒนาธุรกิจเพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอนต่อไป