
WHAUP จับมือ SPM GROUP ติดตั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ ลุยโซลาร์ลอยน้ำ-โซลาร์ฟาร์ม-โซลาร์หลังคาที่จอดรถ Park กำลังผลิตกว่า 9 MW เงินลงทุน 200 ล้านบาท เริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2025
วันที่ 26 สิงหาคม 2567 นายสมเกียรติ เมสันธสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “WHAUP” เปิดเผยว่า WHAUP ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับบริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด และบริษัท เอพีเอ็ม อะโกร จำกัด เพื่อพัฒนาและดำเนินการติดตั้งโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ 3 โครงการ มีขนาดการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 9 เมกะวัตต์ ภายใต้เม็ดเงินลงทุน 200 ล้านบาท และคาดว่าจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ภายใน 2025 โดยแบ่งเป็น

1.โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เหนือผิวน้ำ (Solar Floating) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 3.51 เมกะวัตต์
2.โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน (Solar Farm) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 1.066 เมกะวัตต์
3.โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน (Solar Farm) และพื้นที่จอดรถ (Solar Carpark) ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 4.395 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการด้านพลังงานหมุนเวียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และปศุสัตว์รายใหญ่ระดับประเทศ ที่อยู่ภายนอกนิคมอุตสาหกรรมของ WHA Group ตอกย้ำการดำเนินงานเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่จะตอบสนองต่อการเพิ่มคุณค่าทางธุรกิจ และสถานการณ์โลกที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต รวมทั้งทำให้บริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด และบริษัท เอพีเอ็ม อะโกร จำกัด สามารถลดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ภายหลังจากการเซ็นสัญญากับทั้ง 2 บริษัท ส่งผลให้ WHAUP มีกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 932 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าทุกประเภท โดยเป็นพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Private PPA และสัญญากับภาครัฐ รวมเป็นจำนวน 381 เมกะวัตต์
ด้านนายสรพหล นิติกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี เอ็ม อาหารสัตว์ จำกัด และบริษัท เอพีเอ็ม อะโกร จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านอาหารสัตว์และปศุสัตว์ครบวงจรอันดับต้น ๆ ของประเทศ เปิดเผยว่า การร่วมมือกับ WHAUP ในครั้งนี้ จะเป็นการนำเอาเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด เข้ามาช่วยสนับสนุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และปศุสัตว์ รวมถึงยังช่วยลดการใช้พลังงานจากการเผาไหม้ และลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวให้กับกลุ่มบริษัท ได้มูลค่ากว่า 233 ล้านบาท ตลอดช่วงระยะสัญญา

“กลุ่มบริษัทยึดหลักการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างความแตกต่างอย่างยั่งยืน
โดยปัจจุบันสินค้าของบริษัทสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ คือ อาหารสัตว์เศรษฐกิจ เช่น สุกร, สุกรขุนมีชีวิตและสายพันธุ์สุกร, อาหารไก่, อาหารปลา, อาหารวัว, อาหารจิ้งหรีด, อาหารเป็ด, เนื้อสัตว์อนามัย และปุ๋ยอินทรีย์-ชีวภาพ
โดยกระบวนการผลิตของบริษัททั้งหมดจะถูกควบคุม ตามหลักการของระบบมาตรฐานสากล หรือ ISO อาทิ GMP และ ISO 9001 พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการรักษาสภาพแวดล้อม โดยมุ่งเน้นเป็นองค์กรสีเขียวที่ให้ความสำคัญในการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
ด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาด ติดตั้งครอบคลุมพื้นที่ของโรงงานบริษัททั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรี ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 20-30% จากการทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน หรือคิดเป็นผลประหยัดโดยมีมูลค่าเฉลี่ย 25 ล้านบาทต่อปี ตลอดช่วงระยะสัญญารวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 150,000 ตันใน 25 ปี”