
พิษลานิญา น้ำท่วมหนัก “น่าน-เชียงราย” ทำ กรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเตือนภัยเกือบครึ่งประเทศ แต่รัฐบาลยังมั่นใจวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ยังไม่ซ้ำรอยน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ด้าน สทนช.แจง 4 เหตุผลหลัก จำนวนพายุ-ปริมาณน้ำ ยังไม่วิกฤติ 4 เขื่อนหลักยังรับน้ำได้อีก 2.9 หมื่นล้าน ลบ.ม. พร้อมเร่งบูรณาการ “จัดการน้ำ” อย่างเต็มที่ เตรียมระดม “งบกลางปี 67” เยียวยาผลกระทบ ด้าน “ม.หอการค้า” คาดผลกระทบน้ำท่วมปี 67 ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท
เพียงแค่ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและ สปป.ลาวตอนบน ได้ก่อให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากจนเกิดน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย-แพร่-น่าน-พะเยา-สุโขทัย-พิษณุโลก-พิจิตร ตลอดจนสถานการณ์น้ำในแม่น้ำโขง ก็ปรับระดับสูงขึ้นจนท่วมบริเวณชายฝั่งของจังหวัดติดริมโขง ล่าสุด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประกาศแจ้งเตือน 31 จังหวัด เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 26-29 สิงหาคม ครอบคลุมพื้นที่ไปกว่าครึ่งประเทศ
สทนช.มั่นใจไม่ซ้ำรอยปี’54
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สทนช.ได้ประเมินสถานการณ์อุทกภัยในปี 2567 เปรียบเทียบย้อนหลังไป 3 ปี กล่าวคือ ปี 2554-2565-2567 จนมั่นใจได้ว่า สถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้จะไม่รุนแรงเทียบเท่ากับปี 2567 จากปัจจัย 1) การประเมินพายุจรที่พัดผ่านเข้าประเทศไทยในปี 2554 มีมากถึง 5 ลูก ปี 2565 มีพายุพัดผ่านเข้าไทย 1 ลูก ส่วนปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีพายุพัดผ่านเข้าประเทศไทย 2 ลูก โดยมีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนผ่านบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ในช่วงเดือนกันยายน หรือตุลาคม
2) เมื่อเปรียบเทียบปริมาณฝนสะสมปี 2554 ฤดูฝนในประเทศไทยเริ่มต้นเร็วกว่าปกติ ปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่าค่าปกติ 24% และมีค่ามากที่สุดในคาบ 61 ปี (นับจาก พ.ศ. 2494) ในปี 2565 มีปริมาณฝนเฉลี่ยทั้งประเทศ 1,876 มม. สูงกว่าค่าปกติ 27% หรือมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีตย้อนหลัง 40 ปี ซึ่งหมายรวมถึงมากกว่าปี 2554 ที่ประเทศไทยเกิดอุทกภัยร้ายแรง แต่ในปี 2565 กลับพบว่า สถานการณ์อุทกภัยไม่รุนแรงและยาวนานเหมือนปี 2554 สำหรับปี 2567 ณ เดือนสิงหาคมนี้ ปริมาณฝนในภาพรวมของประเทศไทยยังคง “ต่ำกว่า” ค่าปกติ ร้อยละ 4 และต่ำกว่าปี 2554
3) เมื่อเปรียบเทียบศักยภาพในการรองรับน้ำของ 4 เขื่อนหลัก ประกอบด้วย อ่างเก็บน้ำภูมิพล-สิริกิติ์-แควน้อยบำรุงแดน-ป่าสักชลสิทธิ์ พบว่า ปี 2554 สามารถรองรับได้ 4,647 ล้าน ลบ.ม. ส่วนปี 2565 สามารถรองรับ 11,929 ล้าน ลบ.ม. สำหรับปี 2567 ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 12,071 ล้าน ลบ.ม. (อัพเดต 24 ส.ค. 2567) และล่าสุดวันที่ 26 ส.ค. 2567 มีปริมาณน้ำ 13,381 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 54% ของความจุรับน้ำได้อีกรวมกัน 11,490 ล้าน ลบ.ม.
4) ปริมาณน้ำท่า ณ วันที่ 24 ส.ค. พบว่า ปี 2554 สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,284 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 4,689 ลบ.ม./วินาที) และการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา (C.13) 1,832 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 3,726 ลบ.ม./วินาที) ในปี 2565 สถานี C.2 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 1,582 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 3,099 ลบ.ม./วินาที) และการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา (C.13) 1,500 ลบ.ม./วินาที (ค่าสูงสุด 3,169 ลบ.ม./วินาที)
โดยปี 2567 ปริมาณน้ำท่ายังคงอยู่ในการควบคุมและเป็นไปตามแผน กล่าวคือ สถานี C.2 มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 837 ลบ.ม./วินาที (คาดว่าจะสูงสุด 2,860 ลบ.ม./วินาที) และการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา (C.13) 499 ลบ.ม./วินาที (คาดว่าสูงสุด 2,700 ลบ.ม./วินาที) และแม้ว่าล่าสุดจะมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำ (27 ส.ค. 2567) 917 ลบ.ม./วินาที แต่ก็ยัง “ต่ำกว่า” ปี 2554 อยู่ดี
“ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ปรากฏการณ์เอนโซจากสภาวะ “เอลนีโญ” หรือฝนน้อย น้ำน้อย ไปสู่สภาวะ “ลานีญา” หรือฝนมาก น้ำมาก ประกอบกับอิทธิพลของมรสุมทำให้เกิดฝนตกหนักสะสมในพื้นที่ต่าง ๆ และส่งผลให้เกิดน้ำหลากในหลายพื้นที่ ล่าสุดทาง สนทช.ได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังอิทธิพลน้ำทะเลที่จะหนุนสูง ช่วงวันที่ 30 ส.ค.-5 ก.ย. 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยานอกคันกั้นน้ำที่มีความเสี่ยงท่วมในจังหวัดสมุทรสงคราม-สมุทรสาคร-นครปฐม-นนทบุรี-กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ
ด้านนายวิทยา แก้วมี รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาว่า ปัจจุบันมวลน้ำจากทางตอนบนเริ่มไหลลงมาสมทบ ทำให้ระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมชลประทานได้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำแบบ “ขั้นบันได” ผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำทางตอนบนและปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุด ณ วันที่ 27 ส.ค. 2567 เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำอยู่ในอัตรา 917 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อนเพิ่มจากปัจจุบันอีก 97 ซม.
ผันน้ำเข้าทุ่งบางระกำ
สำหรับสถานการณ์น้ำในแม่น้ำยม-น่าน ณ วันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ปรากฏปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำหาดสะพานจันทร์ อยู่ที่ 1,800 ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำดังกล่าวได้ถูกระบายออก 2 ฝั่งแม่น้ำเข้าสู่คลองเล็กต่าง ๆ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมาถึง อ.ศรีสำโรง อยู่ที่ 690 ลบ.ม./วินาที และมาถึงตัว อ.เมืองสุโขทัย 510 ลบ.ม./วินาที หรือเท่ากับเกณฑ์ควบคุมพอดี ดังนั้นน้ำจะท่วม อ.เมืองสุโขทัย มากหรือน้อยเท่าไหร่จึงขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของคันกั้นน้ำ 2 ฝั่งแม่น้ำยม จะประคับประคองมวลน้ำไหลผ่านตัวเมืองไปได้รวดเร็วแค่ไหน
ต่อจากนั้นน้ำจะไหลผ่านตัวอำเภอเมืองสุโขทัย และถูกผันน้ำเข้าสู่ “ทุ่งบางระกำ” จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำ สามารถรับน้ำได้ถึง 400 ล้าน ลบ.ม. ในพื้นที่ 0.265 ล้านไร่ ปัจจุบันเปิดรับน้ำเข้าทุ่งไปแล้วกว่าร้อยละ 10 หรือประมาณ 50 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ยังมีปริมาณน้ำในแม่น้ำยมส่วนหนึ่ง เหนือประตูระบายน้ำหาดสะพานจันทร์ ได้ถูกผันผ่านประตูระบายน้ำคลองหกบาท เข้าสู่คลองน่าน-ยมสายเก่า เพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำน่าน ผ่านเขื่อนนเรศวร โดยการบริหารจัดการน้ำทั้งหมดจะช่วยลดปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดพิษณุโลก-พิจิตร ลงได้มาก
ส่วนสถานการณ์น้ำในแม่น้ำน่าน ขณะนี้ปริมาณน้ำได้ลดระดับลงในหลายพื้นที่แล้ว และมวลน้ำได้ไหลผ่าน อ.ท่าปลา จ.อุตรดิตถ์ ไหลลงเขื่อนสิริกิติ์ วันละ 106 ลบ.ม./วินาที ที่ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 2,733 ล้าน ลบ.ม. จากปัจจุบันที่มีปริมาตรน้ำ 6,777 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 71 ของความจุอ่าง
ป้องนิคมอุตสาหกรรม
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างมี นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร ตั้งอยู่ที่ อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ล่าสุดได้รับรายงานจากผู้อำนวยการนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ตัวนิคมตั้งอยู่ริมถนนสายเอเชีย ไม่ติดแม่น้ำยมหรือแหล่งน้ำใด ๆ แต่ได้สั่งการให้มีการเตรียมขุดลอกรางระบายน้ำฝนรอบนิคม และตรวจความพร้อมของเครื่องสูบน้ำและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำยมผ่านกล้อง CCTV อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมพิจิตรมีเขื่อนดินความสูง 3.9 เมตร ยาว 3.8 กม.
นอกจากนี้ยังสั่งการให้ทุกนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือต้องปฏิบัติตาม 4 ข้อ ได้แก่ 1) ตรวจสอบและบำรุงรักษาเครื่องจักร เครื่องสูบน้ำ ให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ กระจายไว้ตามจุดเสี่ยงภัยต่าง ๆ ในพื้นที่นิคมและท่าเรือ 2) สำรวจสิ่งกีดขวางทางน้ำ และกำจัดวัชพืชในพื้นที่ที่ระบายน้ำ คลอง และรางระบายน้ำรอบพื้นที่นิคม และท่าเรือ ไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางน้ำ 3) ติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง
พร้อมทั้งจัดเตรียมบุคลากรและเครื่องมือที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ทั้งในพื้นที่โรงงานและอาณาเขตโดยรอบตลอด 24 ชั่วโมง และ 4) หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลในภาวะฉุกเฉิน ให้ ผอ.นิคมและท่าเรือ ปฏิบัติตาม คำสั่ง กนอ. ที่ 285/2565 เรื่อง การรายงานข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินในนิคม และท่าเรือ มายังศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย (ศสป.กนอ.) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
“ผมเตรียมลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบความเสี่ยงต่าง ๆ และจะประชุมออนไลน์จากนิคมในพระนครศรีอยุธยา เพื่อกำชับสร้างความมั่นใจอีกครั้ง โดยเราอาจจะห่วงนิคมที่เคยเกิดปัญหา เช่น บางปู บางปูเหนือ แพรกษา และนิคมที่เคยเกิดปัญหาในปี 2554 เช่น นิคมในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา กทม. และปริมณฑล แต่เรามีระบบเขื่อนระบบป้องกันค่อนข้างจะเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ต้องกำชับตรวจตรา และดูแลตรวจสอบระบบให้ใช้งานได้ดี ให้มีประสิทธิภาพ สำหรับระดับการเตือนภัย 1-10 ขณะนี้อยู่ที่ 2-3 เท่านั้น ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ยังไม่น่าเป็นห่วง” นายวีริศกล่าว
เสียหายเบื้องต้น 6,000 ล้านบาท
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน เบื้องต้นมีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาน้ำท่วมทั้งภาคครัวเรือนและภาคเกษตร ขณะที่ภาคการค้าบริการและอุตสาหกรรม “ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก” เพราะปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น เกิดจากน้ำฝน น้ำไหลผ่าน ไม่ได้มีปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อเทียบกับปี 2554 และปริมาณน้ำยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 24% เมื่อเทียบกับปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ประกอบกับในปีนั้น (2554) มีพายุผัดเข้าประเทศถึง 5 ลูก
ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับปี 2554 ซึ่งเสียหายถึง 1.4 ล้านล้านบาท และจากการประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ หากยืดเยื้อเกิน 2-3 สัปดาห์ จะเสียหายประมาณ 6,000 ล้านบาท แต่ถ้ายืดเยื้อไปถึง 1 เดือน คาดว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นประมาณ 8,000 ล้านบาท ทั้งนี้ พื้นที่ทางการเกษตรจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามไปยัง นายจิระศักดิ์ นวปฏิภาณ รองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน อ.เชียงแสน ได้ประเมินมูลค่าความเสียหายน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอเทิง กับอำเภอเวียงแก่น ได้รับผลกระทบหนักที่สุด คาดว่าอยู่ที่ราว 1,000 ล้านบาท
แต่คาดว่ามูลค่าความเสียหายจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากในสัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกหนักและน้ำยังคงท่วมหลายพื้นที่ โดยภาคเอกชนอยากเสนอแนวทางแก้ปัญหาด้วยการทำระบบชลประทานให้มีประสิทธิภาพ และพื้นที่ป่าของจังหวัดเชียงรายถูกบุกรุกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหัวโล้น ทำให้ไม่มีพื้นที่ซับน้ำหรือชะลอน้ำ
ส่วนนายศรีรุ่ง รัตนศิลา ประธานหอการค้าจังหวัดน่าน กล่าวถึงเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่านครั้งนี้ถือเป็นความรุนแรงในรอบ 100 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ย่านเศรษฐกิจได้รับความเสียหายอย่างหนัก คาดว่ามูลค่าความเสียหายเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจอยู่ที่ราว 1,000 ล้านบาท แต่ถ้ารวมพื้นที่เรือกสวนไร่นาที่ได้รับความเสียหาย คาดว่าอยู่ที่ 500 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหายทั้งหมดคาดว่าอยู่ที่ราว 1,500 ล้านบาท
“จากผลกระทบที่เกิดขึ้นอยากเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยา-ฟื้นฟู โดยภาคเศรษฐกิจต้องการให้ออกมาตรการขยาย-อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ ทั้งร้านค้าพาณิชย์ ที่พัก โรงแรม โฮมสเตย์ ที่ได้รับความเสียหายหนักมาก รวมถึงควรออกมาตรการลดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยต่ำ หรือปลอดดอกเบี้ย ให้กับผู้ประกอบการในระยะ 12-36 เดือน เพื่อให้ผู้ประกอบการมีโอกาสได้ฟื้นฟูธุรกิจร้านค้าใหม่อีกครั้ง เพราะทรัพย์สินทุกอย่างได้หายไปกับน้ำทั้งหมด ขณะเดียวกันในส่วนของภาคเกษตรกรรม รัฐบาลก็ต้องออกมาตรการด้านสินเชื่อและดอกเบี้ยในลักษณะเดียวกัน”
ส่วนการแก้ปัญหาในเชิงพื้นเพื่อป้องกันการเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกในอนาคต อยากให้รัฐบาลทำ “โครงการแก้มลิงน่าน” เพื่อชะลอน้ำ โดยจุดที่มีความเหมาะสมอยู่บริเวณใกล้กับ “วัดท่าล้อ” และใกล้กับมณฑลทหารบกที่ 38 ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน ซึ่งปัจจุบันจังหวัดน่านไม่มีพื้นที่แก้มลิง
นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลเร่งอนุมัติโครงการอ่างเก็บน้ำ 5 อ่าง ที่หอการค้าจังหวัดน่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำเสนอไปแล้วในรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ ครม.ยังไม่อนุมัติ ซึ่งจังหวัดน่านตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่มีอ่างเก็บน้ำ เมื่อมีมวลน้ำขนาดใหญ่จึงไม่มีที่กักเก็บและส่งผลให้เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เช่นในครั้งนี้
ล่าสุดมีรายงานเข้ามาว่า ครม.ให้ความเห็นชอบในการตั้ง ศูนย์อำนวยการสถานการณ์อุทกภัย เพื่อความเป็นเอกภาพในการทำงาน โดยมี นายภูมิธรรม เป็นประธาน โดยศูนย์นี้จะมีภารกิจประกอบไปด้วย 1) การบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ การแจ้งเตือน กับ 2) การดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชน ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบันที่บางจังหวัดได้ประกาศเขตภัยพิบัติไปแล้ว ก็จะใช้งบฯทดรองจ่ายจำนวน 20 ล้านบาท หากไม่เพียงพอต้นสังกัดก็จะขอใช้ “งบฯกลางเพื่อพิจารณา” ต่อไป