จุฬา เลขาธิการอีอีซี เผยสำหรับข้อเสนอ การเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ EEC มีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการต่อ คาดว่าในกระบวนการสามารถดำเนินการได้ภายในปีหน้า ขณะที่ การออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 2561 – ไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่า 1,731,625 ล้านบาท
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง EEC UPDATE ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ The Eastern Economic Corridor (EEC) เป็นองค์กรต้นแบบของการพัฒนาไปสู่ประเทศไทยยุค 4.0 โดยมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “การสร้างสภาพแวดล้อมที่ครอบคลุมทุกมิติ”
โดยในปี 2560 รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นโครงการต้นแบบของการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยการต่อยอดการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ 8.3 ล้านไร่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดให้มีบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร ตลอดจนจัดโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ ให้สอดรับกับการพัฒนาเมืองให้ทันสมัยเหมาะกับการอยู่อาศัยและประกอบกิจการ
การขับเคลื่อนแผนงาน EEC ที่ผ่านมา ได้จัดทำพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 และขับเคลื่อนแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมีแผนปฏิบัติการพัฒนา 6 แนวทาง เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่ระดับประเทศพัฒนาโดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งขับเคลื่อน 5 Cluster อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ ประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ 2) อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ 3) อุตสาหกรรมยานยนต์ 4) อุตสาหกรรมเศรษฐกิจ BCG และ 5) อุตสาหกรรมบริการ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเทรนด์การลงทุนโลก
กลไกการขับเคลื่อนการลงทุน EECO (The Eastern Economic Corridor Office of Thailand) โดยตั้งเป้าหมายกลไกขับเคลื่อนไปที่ Targeted investment (ทั้งเชิงพื้นที่และอุตสาหกรรมเป้าหมาย) Tailor-made incentives และ Total solutions for starting operations ทั้งนี้ มูลค่าการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในอีอีซี ปี 2561 – ไตรมาส 3 ปี 2567 มีมูลค่า 1,731,625 ล้านบาท โดย 5 ประเทศที่ได้รับการออกบัตรสูงสุดได้แก่ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ ตามลำดับ ซึ่งมีการดำเนินการชักชวนนักลงทุนของ สกพอ. ซึ่งมีนักลงทุนทั้งหมด 139 ราย (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 – 20 ก.ย. 2567) สร้างมูลค่าลงทุนรวมกว่า 2.4 แสนล้านบาท เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การผลักดันเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ EEC เพื่อกิจการพิเศษ บนพื้นที่ประมาณ 19,744.69 ไร่ ทั้ง 7 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ เป็นการนำร่องพื้นที่ต้นแบบ หรือ Sandbox ที่ให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนและสนับสนุนการลงทุนในพื้นที่ EEC ได้แก่
1. เขตส่งเสริมรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน EECh (High – Speed Rail Ribbon Sprawl) เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ EEC ที่เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครกับการพัฒนาพื้นที่EEC เพิ่มความสะดวกในการเดินทางจากสนามบินอู่ตะเภาเข้าสู่กรุงเทพมหานครภายใน 1 ชั่วโมง
2. เขตส่งเสริมการแพทย์จีโมนิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) EECg (Genomics Thailand) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิด “ศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์” เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษการแพทย์และสุขภาพครบวงจร
3. เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล EECd (Digital Park)เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กลางการลงทุนและกำลังคนด้านดิจิทัล เป็นโครงสร้างพื้นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล และส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจดิจิทัลยุคใหม่
4. เขตส่งเสริมศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจร ธรรมศาสตร์ (พัทยา) EECmd (Medical Hub)เพื่อเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมส่งเสริมด้านนวัตกรรมการวิจัยขั้นสูง นวัตกรรมทางด้านการแพทย์ และการพัฒนาสุขภาพ เพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย
5. เขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก EECa (Eastern Airport City) เป็นสนามบินนานาชาติ เชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3 เชื่อมต่อกับ “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation” รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” ที่ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง) เชื่อมโยงเป็นส่วนขยายของกรุงเทพฯและปริมณฑลไปทางตะวันออก ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการบิน และประตูเศรษฐกิจสู่เอเชีย
6. เขตส่งเสริมศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีบ้านฉาง EECtp (Tech Park Ban Chang) เพื่อสนับสนุนและรองรับงานวิจัยพัฒนา กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษดิจิทัล และส่งเสริมการถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญจากผู้ประกอบการ
7. เขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EECi (Innovation) เป็นพื้นที่ที่มีระบบนิเวศนวัตกรรมที่เหมาะสม สร้างและสะสมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเดิม สร้างอุตสาหกรรมใหม่รองรับการค้าและการลงทุนด้านการวิจัยและนวัตกรรมด้านชีวภาพจากภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ
นายจุฬา กล่าวว่าอีกว่า สำหรับข้อเสนอ การเพิ่มจังหวัดปราจีนบุรี เป็นพื้นที่ EEC ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมา พบว่าปราจีนบุรี มีความเหมาะสมมากที่สุด และมีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินการต่อ เพราะสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและการพัฒนาเมืองได้ โดยจะต้องมีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกา ขยาย EEC ซึ่งคาดว่าในกระบวนการสามารถดำเนินการได้ภายในปีหน้า
โดยไม่ได้มองเฉพาะให้เกิดการลงทุนใหม่เท่านั้น แต่มีเป้าหมายปรับเปลี่ยนการลงทุนเดิม สู่อุตสาหกรรมใหม่สีเขียว โดยเฉพาะภาคบริการ เช่น บริการที่รองรับสังคมผู้สูงอายุ สุขภาพ การแพทย์ และการท่องเที่ยวคุณภาพสูง ถือว่าเป็นประโยชน์โดยเฉพาะในด้านพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น เหมาะสมกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการพื้นที่เยอะ จัดการระบบขนส่งได้ดีขึ้น และมีสาธารณูปโภคพร้อม
สำหรับ การกำหนด 28 เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ (ประกอบด้วย 26 นิคมอุตสาหกรรม และ 2 เขตรูปแบบคลัสเตอร์) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ นิคมอุตสาหกรรมเอเพ็กซ์กรีน อินดัสเตรียล เอสเตท จ.ฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ 2,191 ไร่ มูลค่าลงทุนรวม 64,511 ล้านบาทเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ หรือกิจการที่เกี่ยวเนื่องหรือเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ และ ศูนย์ธุรกิจ EEC เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ จ.ชลบุรี บนพื้นที่ 5,795 ไร่ มูลค่าลงทุนรวม 534,985 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ อาทิ การแพทย์และสุขภาพครบวงจร การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา ดิจิทัล การบินและ โลจิสติกส์ การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพัฒนา เป็นต้น
ในส่วนการพัฒนาบุคลากรให้ตรงตามอุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรม (Demand Driven EEC Model) แบ่งเป็น 2 Model คือ หลักสูตรระยะยาว (ระดับอาชีวะ/มหาวิทยาลัย) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ด้านวิชาการและการปฏิบัติงานจริง และ หลักสูตรระยะสั้น (Re Skill & Up Skill) เพื่อให้การพัฒนากำลังคนสอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน รองรับการเติบโตและการลงทุนในพื้นที่ผ่านการขับเคลื่อนสถาบันการศึกษา โดยในปี 2567 มีจำนวนสถาบันการศึกษาที่ปรับหลักสูตรเป็น Demand Driven ทั้งหมดแล้ว 20 สถาบัน
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในพื้นที่ EEC ภายใต้เงินลงทุนรวม 682,944 ล้านบาท
ประกอบด้วย 4 โครงการขนาดใหญ่ ได้แก่
1. โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อมโยงการเดินทางระหว่าง สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา ให้มีความรวดเร็วและสะดวกสบาย ด้วยความเร็ว 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
2. โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าเป็น 18 ล้านตู้ต่อปี และรถยนต์จำนวน 3 ล้านคันต่อปี พร้อมทั้งติดตั้งระบบจัดการตู้สินค้าแบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าของภูมิภาคอินโดจีน และประตูการค้าที่สำคัญของภูมิภาค พร้อมก้าวสู่การเป็นท่าเรือระดับโลก (World-Class Port)
3. โครงการสนามบินอู่ตะเภา โดยยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3 เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี (อยู่ระหว่างการแก้ไขสัญญาให้โครงการฯ สามารถดำเนินการต่อได้ และเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาและเริ่มก่อนสร้างรถไฟในปี 2568)
4. โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติและสินค้าเหลว สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เพื่อรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ และเมื่อพัฒนาแล้วเสร็จ จะสามารถรองรับการขนส่งได้ 31 ล้านตันต่อปี
การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้มีสิทธิประโยชน์การลงทุน EEC ดังนี้
ด้านภาษีและอากร อาทิ สิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ สูงสุด 15 ปี , สิทธิได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการ ไม่เกิน 50% ของอัตราปกติ สูงสุด 10 ปี , สิทธิในการยกเว้น/ลดหย่อน จากการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร และสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับผู้ประกอบกิจการในเขตปลอดอากร คลังสินค้าทัณฑ์บน หรือเขตประกอบการเสรี ฯลฯ เป็นต้น
ด้านการอำนวยความสะดวก อาทิ สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อการดำเนินธุรกิจหรืออยู่อาศัย, สิทธิในการถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดภายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก , สิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร , สิทธิในการทำงานของคนต่างด้าว (EEC Visa + EEC Work permit) , สิทธิในการทำธุรกรรมทางการเงินด้วยเงินตราต่างประเทศ และ ได้รับการอนุมัติใบอนุญาตซึ่งอยู่ภายใต้กฏหมาย 14 ฉบับโดยตรงจาก EEC ฯลฯ เป็นต้น