พิษบาทแข็ง-ลดพลาสติก ‘ศรีไทย’ ดาวน์ไซซ์องค์กร

“ศรีไทยฯ” ยอมรับบาทแข็ง-มาตรการลดใช้พลาสติกสะเทือนยอดปี’62 ปรับแผนดาวน์ไซซ์ ใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ มุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้ต่างประเทศแทนตลาดในประเทศ มั่นใจปีนี้ฟื้นตัว ลูกค้าแอฟริกา-ตะวันออกกลางหันออร์เดอร์ไทยแทนโรงงานจีนปิดหลังโควิด-19 

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SRITHAI เปิดเผย
“ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่บริษัทจะสามารถพลิกฟื้นกลับมาดีขึ้นจากปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ประสบปัญหาจากภาวะอัตราแลกเปลี่ยนค่าบาทแข็งค่าต่อเนื่อง จากช่วงที่รับคำเสนอซื้อค่าบาทอยู่ที่ 33.50 บาท แต่หลังจากนั้นแข็งค่ามาเป็น 30.50 บาท ทำให้ขาดทุนค่าบาท และผลจากการรณรงค์ลดใช้พลาสติกในประเทศ ส่งผลให้ความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์บวกพลาสติกขวดเพ็ตลดลง แต่ปีนี้สถานการณ์ค่าบาทอ่อนค่าลงมา ทำให้ราคาแข่งขันได้ ประกอบกับผลการระบาดของโควิด-19 ทำให้มีความต้องการหลายตลาดกลับมาบ้าง

“ตลาดตะวันออกกลางกลับมา ตลาดแอฟริกาจะหันมาซื้อเรา เพราะทางโรงงานจีนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ปิดโรงงานทำให้ซัพพลายขาด ส่วนที่น่าห่วงคือสหภาพยุโรปไม่ดี แต่ปัจจัยจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกไม่ดีอยู่ ดังนั้น ปีนี้ยังตั้งเป้ายอดขายไว้ในระดับเทียบเท่ากับปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากตลาดในประเทศ 70% ต่างประเทศ 30% แต่ในอนาคตมองว่ารายได้จากฐานผลิตในต่างประเทศจะมีสัดส่วนมากกว่าในประเทศ เพราะมีหลาย ๆ ตลาดเติบโตดี เช่น เวียดนาม มียอดขายในประเทศดีมาก ในอินเดียก็ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องดี”

นายสนั่นกล่าวเพิ่มเติมว่า แผนการปรับตัวที่สำคัญในปีก่อนทางบริษัททยอยปรับองค์กรหลายด้านมีการดาวน์ไซซ์ ทั้งการยุบรวมแผนกในส่วนที่ไม่จำเป็น เช่น การขายตรง การขายสินทรัพย์ (asset) บางส่วน และปรับลดจำนวนพนักงานระดับปฏิบัติการประมาณ 500 คน เหลือคนงาน 2,700 คน หันมาใช้เทคโนโลยีระบบอัตโนมัติแทนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และจ้างแรงงานทักษะสูงเข้ามาเพิ่ม   

“ปีนี้ยังมีแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต วางงบประมาณเบื้องต้น 300 ล้านบาท ไม่ได้มุ่งที่จะขยายกำลังการผลิต แต่จะเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร และเน้นขยายการลงทุนในต่างประเทศ ส่วนการลดจำนวนพนักงานอีกหรือไม่ก็ยังต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง”


ทั้งนี้ ผลการดำเนินในปี 2562 มีรายได้การขาย 8,846 ล้านบาท ลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มพลาสติกเช่นผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน 1,605 ล้านบาท ลดลง 18.2% จากปี 2561 ผลิตภัณฑ์เพื่องานอุตสาหกรรมมูลค่า 7,024 ล้านบาท ลดลง 5.2% จากปี 2561 กลุ่มแม่พิมพ์และอื่น ๆ มีรายได้ 217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6% จากปี 2561 จากการผลิตส่งมอบตามกำหนด