แจกเงิน 3,000 บาท 16 ต.ค. คาด “คนละครึ่ง” เงินสะพัด 60,000 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนและการลงทุนต่างๆ ของภาคเอกชน โดยหวังให้สภาวะการบริโภคและการลวงทุนกลับเข้าสู่ระดับปกติโดยเร็ว มีโครงการต่างๆ ดังนี้

1.“โครงการคนละครึ่ง” ในลักษณะการร่วมจ่าย (Co-pay) ระหว่างประชาชนที่เข้าร่วมโครงการและรัฐบาล โดยจะสนับสนุนค่าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าทั่วไป ผู้ได้รับสิทธิตามโครงการเป็นประชาชนสัญชาติไทยที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 10 ล้านคน ภาครัฐจะสนับสนุนโยร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่มและสินค้าทั่วไป ไม่รวมสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบและบริการต่าง ๆ ร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาทต่อคนต่อวันหรือไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน เริ่มลงทะเบียนผ่าน WWW.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

โดยชำระผ่าน g-wallet (“เป๋าตัง” สำหรับประชาชน และ “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้า) ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม- 31 ธันวาคม 2563 โดยมีวงเงินจำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน 10 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างน้อย 100,000 ร้านค้า เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท ส่งผลให้ GDP ขยายตัวร้อยละ 0.18

2.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น (ร้านธงฟ้า) จำนวน 500 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยเป็นกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 13,948,518 คน วงเงิน 20,922.7770 ล้านบาท รวมระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ตุลาคม – ธันวาคม 2563

เนื่องจากกลุ่มผู้มีบัตรฯ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้มีรายได้ลดลงและไม่สามารถหารายได้จากแหล่งอื่นมาทดแทนได้ โครงการ ฯ จะทำให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้ง 13,948,518 คนได้รับการช่วยเหลือ เยียวยา เพิ่มกำลังซื้อ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น รวมทั้งยังก่อให้เกิดการใช้จ่ายในท้องถิ่นผ่านร้านธงฟ้าฯ อีกด้วย ภายใต้เงื่อนไขไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้ ต้องใช้จ่ายผ่านร้านธงฟ้าเท่านั้น

3.ปรับปรุงคุณสมบัติผู้จบการศึกษาใหม่ที่เข้าร่วมโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน ที่เข้าร่วมโครงการ ฯ จากเดิม “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม” เป็น “มีสัญชาติไทยและไม่เคยอยู่ในระบบประกันสังคม ยกเว้นกรณีผู้จบการศึกษาใหม่ที่อยู่ในระบบประกันสังคม เนื่องจากการทำงานนอกเวลาเรียน (Part time) ในระหว่างที่กำลังศึกษา”

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้นักศึกษาที่มีฐานะยากจน ยังไม่จบการศึกษาและต้องหารายได้พิเศษโดยทำงานนอกเวลาเรียนหรือ Part time ที่มีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมสามารถเข้าร่วมโครงการได้ เกิดการจ้างงานตามเป้าหมายที่กำหนด

4 โครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563) อนุมัติโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสีสำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจาก COVID-19 ของกระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงินรวม 878.20 ล้านบาท