มิตรผล เทงบ 380 ล้าน ซื้อใบอ้อย-ฟางข้าว ตันละ 1,000 บาท 3.8 แสนตัน

มิตรผลพลิกโฉมภาคเกษตรไทยให้ไร้ฝุ่นชู ‘เกษตรสมัยใหม่’ ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มอ้อย พร้อมเทงบ 380 ล้าน เปิดรับซื้อใบอ้อย-ฟางข้าว ตันละ 1,000 บาท 3.8 แสนตัน หวังจูงใจชาวไร่ลด PM 2.5

นายบรรเทิง ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการบริษัท กลุ่มมิตรผล เปิดเผยว่า ภาคการเกษตรมักจะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5 จากการเผาพืชผลทางเกษตรหรือเศษชีวมวลต่าง ๆ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เช่น เผาฟางข้าว ซังข้าวโพด หรือเผาอ้อย ซึ่งทางออกในการแก้ไขปัญหาเรื่องการเผาในภาคเกษตรอย่างยั่งยืน

โดยในฤดูการผลิตประจำปี 2563/2564 โรงงานน้ำตาลกลุ่มมิตรผล ในจังหวัดสุพรรณบุรี สิงห์บุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ เลย และอำนาจเจริญ ได้เปิดโครงการรับซื้อใบอ้อยและฟางข้าวจากชาวไร่ ตันละ 1,000 บาท (ราคาหน้าโรงงาน) ต่อเนื่องจากปีก่อน เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าชีวมวล ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563 – 15 มีนาคม 2564

บรรเทิง ว่องกุศลกิจ

โดยมีเป้าหมายที่จะรับซื้อใบอ้อยและฟางข้าวจากชาวไร่จำนวน 380,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 380 ล้านบาท นับเป็นการส่งเสริมให้ชาวไร่มีรายได้เพิ่มขึ้น ท้องถิ่นมีอาชีพ เกิดการจ้างงานในชุมชน เศรษฐกิจระดับท้องถิ่นหมุนเวียน ช่วยลดภาระเศรษฐกิจที่ภาครัฐต้องสนับสนุน ทั้งยังได้ดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“ปีนี้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ร่วมมือกันรณรงค์ให้งดเผาและตัดอ้อยสดให้มากขึ้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายได้มีนโยบายให้ตัดอ้อยสดเข้าหีบไม่น้อยกว่า 80% กลุ่มมิตรผลคาดว่าในฤดูหีบนี้ จะสามารถตัดอ้อยสดได้ตามเป้าหมายของภาครัฐ”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าที่ผ่านประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนเลือกที่จะเผาวัสดุทางการเกษตรในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว อาทิ เช่น เผาฟางข้าว ซึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 60 ล้านไร่, ซังข้าวโพดซึ่งมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 6.53 ล้านไร่ หรืออ้อยซึ่งมีพื้นที่ปลูกในประเทศรวม 11.95 ล้านไร่ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทันเวลา แต่การเผาก็จะทำให้สูญเสียคุณภาพผลผลิต และกระทบความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งหลายภาคส่วนพยายามร่วมมือกันแก้ไขปัญหานี้

ซึ่งต้องมีแนวทางแก้ไข ด้วยการเปลี่ยนวิธีการทำการเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรสมัยใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่การวางแผนการปลูก บำรุง เก็บเกี่ยว ที่จะต้องนำนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดกลางและเล็ก เข้ามาใช้แทนแรงงานคนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุน และช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นแนวทางหนึ่ง

“ทางกลุ่มมิตรผลได้ส่งเสริมแนวทางการทำไร่อ้อยสมัยใหม่ตามหลัก “มิตรผล โมเดิร์นฟาร์ม” ให้แก่ชาวไร่อ้อยมา 5-6 ปี ซึ่งทำให้ปริมาณอ้อยไฟไหม้ของกลุ่มมิตรผลน้อยลง ตัวอย่างเช่น โรงงานน้ำตาลมิตรภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ มีอ้อยสดเข้าหีบสูงถึง 99%”

อีกทั้งยังส่งเสริมให้ความรู้เกษตรกรอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตระหนักว่าการทำการเกษตรแบบยั่งยืนที่ดูแลสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้ชาวไร่ได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งในแง่ของคุณภาพของผลผลิตและรายได้ และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสมดุลในระบบนิเวศน์ ลดการใช้สารเคมีในภาคเกษตร

ทำให้เกษตรกรไทยสามารถประกอบอาชีพเกษตรได้อย่างยั่งยืน รวมถึงถ่ายทอดความรู้ และสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรให้เกษตรกร เช่น รถตัดอ้อย รถสางใบอ้อย รถอัดใบอ้อย เครื่องคลุกใบอ้อยเพื่อใช้เป็นวัตถุอินทรีย์ในดิน เป็นต้น

นายบันเทิง กล่าวว่า การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุชีวมวลทางการเกษตร เช่น ใบอ้อย ฟางข้าว ที่นอกจากจะใช้คลุมดินช่วยป้องกันวัชพืช รักษาความชื้น เป็นอินทรีย์วัตถุให้กับดินแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงเสริมเพื่อผลิตไฟฟ้าชีวมวล พลังงานสะอาด ลดการใช้น้ำมันฟอสซิลซึ่งเมื่อเกษตรกรเห็นว่าวัสดุชีวมวลเหล่านี้มีคุณค่า สามารถสร้างรายได้ สร้างงาน สร้างอาชีพก็จะเลิกเผา

อย่างไรก็ตาม ต้องอาศัยการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพลังงาน หน่วยงานในท้องถิ่น รวมถึงภาคเอกชน และเกษตรกร ซึ่งหากมีการบูรณาการแผนการดำเนินงานกันอย่างเข้มแข็ง และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง รวมถึงเข้มงวดกวดขันเรื่องการเผาอ้อย ก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

“ผมมองเห็นว่าเกษตรสมัยใหม่คือจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคเกษตรของไทยให้สามารถแข่งขันบนเวทีโลกได้ ทั้งในด้านของคุณภาพและปริมาณผลผลิต เราจึงต้องส่งเสริมให้เกษตรกรมีทัศนคติที่อยากปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็น Smart Farmer เป็นเกษตรยุคใหม่ที่ใช้หลักการบริหาร เทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาปรับใช้

รวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลสิ่งแวดล้อม หากไม่ปรับตัวในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องฝุ่นที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ภาคเกษตรยังต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้งหรือน้ำท่วมที่มีผลจากปัญหาโลกร้อนและสภาพอากาศแปรปรวน รวมถึงการแข่งขันในตลาดอุตสาหกรรมเกษตรระดับโลกที่ท้าทายมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้”