เฟ้นหา “พันธุ์ข้าวใหม่” กู้ส่งออก 4 เดือนไทยตกอันดับ

ต้องยอมรับว่าการส่งออกข้าวไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2563 ไทยส่งออกข้าวได้ 5.7 ล้านตัน ขณะที่ล่าสุดในช่วง 4 เดือนแรก (มกราคม-เมษายน 2564) ส่งออกเพียง 1.45 ล้านตัน ลดลง 31%

จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เคยทำได้ 2.11 ล้านตัน ทำให้ไทยตกชั้นมาอยู่ลำดับที่ 4 ของประเทศผู้ส่งออกข้าวโลก รองจากอินเดีย เวียดนาม ปากีสถาน

ไทยตกอันดับเบอร์ 4 โลก

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่า สาเหตุที่ไทยส่งออกได้น้อยลงมาจากราคาส่งออกข้าวไทยที่สูงกว่าคู่แข่ง ประกอบกับคุณภาพข้าวไทยลดลง

ส่วนประเทศคู่แข่งพัฒนาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ตลาดผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย หันไปนิยมข้าวขาวพื้นนุ่มจากประเทศคู่แข่งมากขึ้น

“เห็นได้จากฟิลิปปินส์ซึ่งเดิมจะนำเข้าข้าวเฉลี่ยปีละ 2 ล้านตัน ในอดีตรัฐบาลจะนำเข้าจากไทยและเวียดนามสัดส่วน 50 : 50 แต่ปัจจุบันฟิลิปปินส์ปรับให้เอกชนเป็นผู้นำเข้าเอง

และผู้บริโภคนิยมทานข้าวขาวพื้นนุ่ม ทำให้ฟิลิปปินส์หันไปนำเข้าจากเวียดนามมากขึ้น โดยปี 2563 ที่ผ่านมานำเข้าข้าวจากเวียดนาม 1.3 ล้านตัน นำเข้าจากไทยเพียง 70,000 ตัน รวมไปถึงตลาดมาเลเซียก็หันไปนำเข้าข้าวจากเวียดนามมากขึ้น และนำเข้าจากไทยเพียงหลักหมื่นเท่านั้น”

ทั้งนี้ เวียดนามมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวขาวและข้าวหอมจนเป็นที่นิยมของตลาดมากขึ้นและยังมีราคาถูก หรือแม้แต่อินเดียก็มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวจนเป็นที่ต้องการของตลาดเช่นกัน

ขณะที่ผลผลิตข้าวไทย 90% เป็นพันธุ์ข้าวพื้นแข็ง ซึ่งไม่ได้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาดมากนัก ประกอบกับคุณภาพข้าวไทยก็ลดลงโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิซึ่งมีความหอมลดลงถือเป็นสิ่งที่น่าห่วง ทำให้ตลาดข้าวขาวและข้าวหอมมะลิของไทยถดถอยไปเรื่อย ๆ

ลุ้นครึ่งปีหลังส่งออกฟื้น

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมยังมองว่าการส่งออกครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวดีขึ้นอาจมีโอกาสส่งออกได้เกิน 500,000 ตันต่อเดือน เนื่องจากความต้องการข้าวในครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น

โดยเฉพาะอินโดนีเซียน่าจะมีการนำเข้า และปีนี้ปริมาณฝนตกลงมามากและตรงตามฤดูกาล ทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังและข้าวนาปีน่าจะ “เพิ่ม”

แนวโน้มราคาข้าวไทยช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับลดลงจนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เช่น ข้าวขาวไทยตันละ 460 เหรียญสหรัฐ อินเดีย ตันละ 400 เหรียญสหรัฐ ข้าวหอมมะลิไทยตันละ 840 เหรียญสหรัฐ ข้าวหอมมะลิเวียดนาม ตันละ 612 เหรียญสหรัฐ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ทางสมาคมฯจึงยังคงตั้งเป้าหมายการส่งออกปี 2564 ไว้ที่ 6 ล้านตัน

แต่ทั้งนี้ ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก ทั้งเรื่องค่าเงินบาท ต้นทุนค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น เส้นทางขนส่งไปนิวยอร์กเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 สหรัฐต่อตู้ขนาด 20 ฟุต จากเดิมที่ 2,500 สหรัฐต่อตู้ 20 ฟุต ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เพื่อให้สามารถส่งออกได้คล่องตัวมากขึ้น

หนุนพันธุ์ใหม่

การแก้ปัญหาจุดอ่อนเรื่องพันธุ์ข้าวนั้น ล่าสุดทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดประกวดพันธุ์ข้าวใหม่ 3 ชนิด ข้าวขาวพื้นนุ่ม ข้าวขาวพื้นแข็ง

และข้าวหอมไทยขึ้นเป็นครั้งแรก โดยตั้งรางวัลสูงสุดถึง 500,000 บาท มุ่งหวังว่าจะสามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ช่วยลดต้นทุนให้กับเกษตรกร และช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถนำไปแข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น

นายวัลลภ มานะธัญญา อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในการประกวดครั้งนี้สมาคมเตรียมใช้ข้าวขาวพื้นนุ่มพันธุ์ กข 79 และ กข 87 เป็นตัวเปรียบเทียบคุณภาพ

ส่วนข้าวขาวพื้นแข็งใช้พันธุ์ข้าว กข 41 และ กข 85 เป็นตัวเปรียบเทียบ และข้าวหอมไทยจะใช้พันธุ์ข้าวหอมปทุมธานี 1 เป็นตัวเปรียบเทียบคุณภาพ

สำหรับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การให้คะแนนนั้น จะพิจารณาตั้งแต่พันธุ์ข้าวการเพาะปลูก ผลผลิต เมล็ด รวมไปถึงคุณภาพข้าวที่ได้ และการหุงด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมประกวดได้จนถึง 30 มิถุนายน 2564 จากนั้นให้ปลูกช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จึงจะมีการตัดสิน

“เชื่อว่าการประกวดครั้งนี้จะสร้างแรงจูงใจให้กับผู้สนใจพัฒนาพันธุ์ข้าวไทยเพิ่มขึ้น เป็นการยกระดับพันธุ์ข้าวไทยในตลาดโลก เพราะต้องยอมรับว่าขีดความสามารถการแข่งขันของไทยลดลงต่อเนื่อง

ทั้งด้านราคาและคุณภาพรวมไปถึงผลผลิตต่อไร่ ขณะที่คู่แข่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทำอย่างไรที่ไทยจะแข่งขันได้ การจัดครั้งนี้เป็นครั้งแรก แต่จะจัดต่อไปทุกปี


และหากพันธุ์ข้าวใดชนะการประกวดทางสมาคมจะเร่งผลักดันให้ได้รับการรับรองและคุ้มครองพันธุ์ เพื่อจะสามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ต่อไป”