72 องค์กรภาคประชาสังคมนำโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ออกแถลงการณ์คัดค้านการผ่อนปรนนำเข้าเศษพลาสติก พร้อมเสนอ7แนวทาง
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 องค์กรภาคประชาสังคม 72 องค์ นำโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้ออกแถลงการณ์ (ฉบับที่ 2) คัดค้านการผ่อนปรนการนำเข้าเศษพลาสติก หยุดการนำเข้าเศษพลาสติกอย่างเด็ดขาดภายในปี 2564
โดยมีสารสำคัญระบุว่า ความเดิม ปัญหาขยะพลาสติกเริ่มกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคมไทย ภายหลังจากรัฐบาลจีนออกกฎหมายห้าม นำเข้าขยะจากต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2560 โดยเฉพาะการห้ามนำเข้าเศษพลาสติกต่างประเทศ นโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการรีไซเคิลขยะพลาสติกในประเทศจีนหลายรายได้ย้ายฐานการรีไซเคิลไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียนและประเทศไทย
ดังจะเห็นได้จากปริมาณนำเข้าเศษพลาสติกที่อาจแฝงด้วยขยะ พลาสติกเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา จนทะลุ 5 แสนกว่าตันในปี 2561 และข่าวการจับกุมการลักลอบ นำเข้าขยะพลาสติกหลายราย ที่มีการสำแดงเท็จว่าเป็น “เศษพลาสติก”
“คณะอนุกรรมการเพื่อบูรณาการการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษพลาสติกที่นำเข้าจากต่างประเทศอย่างเป็นระบบ” ซึ่งรัฐบาลแต่งตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีการประชุมเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ได้มีมติให้ยกเลิกการ นำเข้าเศษพลาสติกภายใน 2 ปี (นั่นคือห้ามการนำเข้าเด็ดขาดภายในสิ้นกันยายน 2563) และกำหนดช่วงผ่อนผัน การนำเข้า 2 ปี คือระหว่างสิงหาคม 2561 ถึงสิงหาคม 2563 โดยไดกำหนดโควตาการนำเข้า ปีที่ 1 ให้นำเข้าได้ไม่เกินใน ช่วงเดือนกันยายน 2563
สมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม รวม 65 องค์กรได้ ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้ “คณะอนุกรรมการการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์” รักษาคำมั่นที่ จะยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกเด็ดขาดตามมติคณะอนุกรรมการชุดเดิม โดยไม่ต่อโควตาการนำเข้าเศษพลาสติก อีกต่อไป
แต่ต่อมากลุ่มโรงงานได้พยายามผลักดันกระทรวงอุตสาหกรรมเรียกร้องให้มีการเปิดการนำเข้าเศษพลาสติก โดยอ้างเหตุผลว่า ขาดแคลนวัตถุดิบในประเทศ ระบุความต้องการนำเข้าเศษพลาสติกถึง 685,190 ตันต่อปี ทั้ง ๆ ที่ 1) ก่อนปี 2560 มีการนำเข้าเฉลี่ยไม่เกิน 56,000 ตันต่อปี และ 2) สมาคมซาเล้ง และวงษ์พาณิชย์ได้ออกมาระบุว่ามี วัตถุดิบในประเทศอย่างเพียงพอ
ด้วยแรงกดดันจากภาคอุตสาหกรรมและกระทรวงอุตสาหกรรม คณะอนุกรรมการการบริหารจัดการขยะพลาสติก และขยะอิเล็กทรอนิกส์ จึงปรับเปลี่ยนนโยบายคือ ไม่ประกาศมาตรการ “ยกเลิกการนำเข้าเศษพลาสติกโดยเด็ดขาด” ตามมติคณะอนุกรรมการ เดิมที่มีขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561 และกลับมีมติใหม่ในการประชุมเมื่อ วันที่ 25 มกราคม 2564 คือกำหนดแผนควบคุมการนำเข้าเศษพลาสติก
ตั้งเป้าที่จะห้ามนำเข้าในอีก 5 ปี หรือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ระหว่างนี้ให้นำเข้าได้แต่ต้องลดสัดส่วนลงทุกปีและเพิ่มสัดส่วนเศษพลาสติกในประเทศแทน โดยปี 2564 นี้ ให้นำเข้าได้ไม่เกิน 250,000 ตัน
ทางเครือข่ายยังพบว่า ขณะที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมอ้างว่าไม่ได้ให้ใบอนุญาตนำเข้าเศษพลาสติกแล้ว แต่กลับพบการนำเข้าเศษพลาสติกอย่างต่อเนื่อง อีกประมาณ 1 แสนตันเศษต่อปี โดยเป็นการนำเข้าของโรงงานที่ตั้งอยู่ในเขต 70,000 ตัน ปีที่ 2 ให้นำเข้าได้ไม่เกิน 40,000 ตัน และปีที่ 3 คือตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2563 เป็นต้นไปใบอนุญาตให้นำเข้าเศษพลาสติกตามโควตาเดิมจะหมดอายุลง และห้ามการนำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศโดยเด็ดขาด
ปลอดอากรและเขตประกอบการเสรี (Free zone) ซึ่งมีกฎหมายควบคุมแยกต่างหาก ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง ช่องว่างที่ใหญ่โตทางกฎหมายและเป็นช่องว่างที่สนองตอบความพยายามของกลุ่มโรงงานที่เรียกร้องขอให้อนุญาตการนำเข้าเศษพลาสติกได้อย่างต่อเนื่อง
เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมและสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า ซึ่งได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าว มีความผิดหวังกับมติคณะอนุกรรมการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2654 เป็นอย่างมาก และมีข้อสังเกตว่า การประชุมของคณะอนุกรรมการ ในวันดังกล่าวเป็นไปอย่างเร่งรีบและไม่มีการเชิญให้ภาคประชาสังคมหรือแม้แต่สมาคมซาเล้งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงเข้าร่วมในการประชุมตามปกติด้วย
ทางเครือข่ายเห็นว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อผ่อนผันให้นำเข้าเศษพลาสติกเกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าเล่า หากยังคงเปิดให้มีการนำเข้าเศษพลาสติกจำนวนมากตามข้อเรียกร้อง ของโรงงานอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบต่อราคารับซื้อเศษพลาสติกในประเทศ และกระทบต่อรายได้ของซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า รวมถึงสวนทางกับนโยบายการขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนภายใต้นโยบาย BCG (Bio- economy, Circular Economy, Green Economy) ของประเทศโดยตรง
เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม จึงมีข้อเสนอ ดังต่อไปนี้ 1. ขอให้คณะอนุกรรมการการบริหารจัดการขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทบทวนและยกเลิกมติ “มาตรการการกับการนำเข้าเศษพลาสติก เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564” และประกาศนโยบายที่จะห้ามนำเข้าเศษพลาสติกภายในสิ้นปี 2564 โดยเร็ว
พร้อมกันนี้ขอให้กรมควบคุมมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดเวทีการพบกันระหว่างผู้ต้องการซื้อและผู้ต้องการขายเศษพลาสติก โดยสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่ายินดีให้ความร่วมมือในการจัดหาผู้ที่ต้องการขายเศษพลาสติก
2. ให้มีการแก้ไขกฎหมายในเขตประกอบการเสรีและกฎหมายเขตปลอดอากร โดยห้ามการนำเข้าเศษพลาสติก จากต่างประเทศ แต่ให้มีการใช้เศษพลาสติกในประเทศแทน
3. ให้กรมการค้าต่างประเทศออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ห้ามนำเข้าเศษพลาสติก เฉกเช่นเดียวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ ภายในปี 2565
4. ต้องเข้มงวดการตรวจสอบในการนำเข้า เช่น กรมศุลกากรต้องจัดทาพิกัดย่อยของพิกัดศุลากร 39.15 สำหรับใช้กำกับการตรวจสอบการนำเข้าเศษพลาสติกและพลาสติกอื่น ๆ เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จ เพิ่มบทลงโทษผู้นำเข้าและผู้แทน (shipping) ที่สำแดงเท็จ รวมทั้งเผยแพร่ความคืบหน้าของการดาเนินคดีการจับกุมคดีลักลอบนำเข้าขยะพลาสติกและขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเมื่อพ้นช่วงผ่อนผันแล้ว ต้องห้ามนำเข้าเศษพลาสติกพิกัดศุลกากร 39.15 ทั้งหมด
5. ในระหว่างที่ยังเปิดให้นำเข้าเศษพลาสติกได้ ให้นำเข้าได้เฉพาะที่เป็น “เม็ดพลาสติก” สำเร็จรูปพร้อมนำไปผลิตเป็นชิ้นงานเท่านั้น ผู้ประกอบการที่จะนำเศษพลาสติกได้จะต้องได้รับการรับรอง ISO14001 เป็นขั้นต่ำ และต้องมีหลักฐานในการแสดงเพื่อพิสูจน์ว่าข้อมูลเหล่านี้มีความสอดคล้องกันตามความเป็นจริง ดังนี้ (1) แสดงงบดุลการซื้อ, งบดุลการขาย, งบดุลการเสียภาษีสรรพากร ย้อนหลัง 3 ปี และ (2) แสดงตัวเลขการส่งออกและตัวเลขกำลังการผลิตที่แท้จริง ย้อนหลัง 3 ปี และ (3) อนุญาตให้นำเข้าเศษพลาสติกจากประเทศที่ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาบาเซลแล้วเท่านั้น
6. กระทรวงอุตสาหกรรมต้องไม่มีนโยบายรับการลงทุนอุตสาหกรรมรีไซเคิลจากต่างประเทศที่ใช้ไทยเป็นฐานการแปรรูปเศษวัสดุจากต่างประเทศแล้วส่งออก การลงทุนแบบนี้สร้างความไม่เป็นธรรมและสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมรุนแรงต่อประเทศไทยเพราะทิ้งกากของเสียและมลพิษให้กับประชาชนไทย ให้มีการทบทวน กฎหมายเขตปลอดอากรและเขตประกอบการเสรีและเร่งรัดประเมินมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมโรงงาน และแสดงหลักฐานว่าโรงงานที่มีการนำเข้าเศษพลาสติกและเศษวัสดุต่าง ๆ ได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากน้อยเพียงใดทั้งในทางเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม มีการเสียภาษีอย่างครบถ้วนหรือไม่
7. ขอให้คณะอนุกรรมการฯ เพิ่มผู้แทนสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่าและองค์กรภาคประชาสังคมเข้า ร่วมเป็นกรรมการหรือคณะทางานด้วย เพื่อสร้างความสมดุลของนโยบาย โดยคำนึงถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้ผู้แทนภาคประชาสังคมร่วมในการติดตามตรวจสอบการ นำเข้าเศษพลาสติกจากต่างประเทศร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรและกรมโรงงานอุตสาหกรรมด้วย