สมรภูมิปั๊มน้ำมัน 3 เจ้าตลาดแข่งเดือด OR-บางจาก-PTสู้ไม่ถอย

ปั้มน้ำมัน

สมรภูมิน็อนออยล์เดือด 3 เจ้าตลาด “โออาร์-บางจาก-พีที” ออกอาวุธชิงลูกค้าปีเสือ งัดไม้เด็ด “ปั๊มชาร์จอีวี-โทเค็น” รับเทรนด์โลก “โออาร์” ทุ่ม 29,000 ล้าน ปั๊มสาขาคาเฟ่อเมซอน 400 แห่ง บางจากมาเหนือชั้น ปั๊มยอดมอ’ไซค์ไฟฟ้า Winnonie 3,000 ราย-ขยายสาขารับโทเค็น 100 แห่ง ด้าน PT ปี’65 ธุรกิจน็อนออยล์เริ่มคืนกำไรพร้อมชูจุดแข็ง 17 ล้านสมาชิกวาดภาพสู่ Max World

ในปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ค้าน้ำมัน ต่างหันมาทำธุรกิจค้าปลีกที่ไม่ใช่น้ำมัน หรือ nonoil กันมากขึ้น เมื่อต่างพบว่า การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันปัจจุบันดำเนินไปอย่างดุเดือดเพื่อแลกกับอัตรากำไรที่ลดน้อยลง ทำให้ค่ายน้ำมันหลัก ๆ

ต้องมุ่งไปที่การทำธุรกิจ nonoil ที่ให้ผลกำไรในระดับตัวเลข 2 หลักแทน รวมไปถึงการมองไปที่พลังงานแห่งอนาคต อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะเข้ามาแทนที่รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป และอาจรุกไปสู่การใช้เงินเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีด้วย

OR รุก Nonoil

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า ได้วางเป้าหมายการลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2569) ด้วยการเพิ่มสัดส่วน EBITDA margin ในธุรกิจ nonoil จาก 25-26% เพิ่มเป็น 35%

ในทางกลับกันก็จะต้องลดสัดส่วนธุรกิจ oil จาก 70-80% จะเหลือ 55% เพิ่มธุรกิจต่างประเทศจาก 6-7% เป็น 12-13% และธุรกิจใหม่ ๆ จากปัจจุบันรายได้หลักของ OR มาจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมันประมาณ 70-80%

แต่กำไร EBITDA หลักกลับมาจาก ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันหรือ nonoil อยู่ประมาณ 25-29% ขณะที่ EBITDA ของน้ำมันนั้น “บางจากอยู่ที่ประมาณ 3-5% เท่านั้น”

ล่าสุดในปี 2565 OR เตรียมใช้งบประมาณลงทุน 29,000 ล้านบาท โดยจะกระจายการลงทุนในธุรกิจน้ำมัน, ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน, ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจใหม่ที่มีนวัตกรรม แบ่งเป็นด้านไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ และดิจิทัลเทคโนโลยี

ซึ่งงบประมาณนี้มาจากแผนการลงทุนใหม่ 5 ปีฉบับใหม่ระหว่างปี 2565-2569 วงเงิน 93,000 ล้านบาท โดยอาศัยแหล่งเงินจากเม็ดเงินที่เหลือจากการ IPO บวกกับเงินแคชเอิร์นนิ่ง ซึ่งคาดว่าจะเหลือประมาณ 50,000 ล้านบาท

รายได้หลักคาเฟ่อเมซอน

สำหรับปี 2565 OR จะขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันอีก 90-100 แห่ง จะเป็นการลงทุนและบริหารโดยบริษัทเอง 20% ดีลเลอร์ลงทุนและบริหาร 80% จากจำนวนสาขาปัจจุบัน 2,000 สาขา ซึ่งจะไม่นับรวม สถานีก๊าซ NGV ที่เป็นของบริษัทแม่ PTT

แม้ว่าจะรุกสู่ธุรกิจ nonoil แต่ OR ยังจำเป็นต้องขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันพีทีทีสเตชั่นเพื่อเป็น “แพลตฟอร์ม” ให้ nonoil เข้ามาเกาะสร้างการเติบโตด้วยกัน และต่อไปสถานีบริการน้ำมันจะขยายสู่ “ถนนสายรอง” มากขึ้น

เมื่อธุรกิจน้ำมันบวกกับธุรกิจ nonoil ก็จะจูงใจผู้ลงทุน เพราะใช้เงินลงทุนระหว่าง 60-70 ล้านบาทต่อแห่ง แต่ใช้เวลาคืนทุนเพียงแค่ 8-9 ปี แต่ถ้าไม่มี nonoil สถานีบริการน้ำมันจะใช้เวลาคืนทุนนานถึง 10 ปี

“ตอนนี้เรามีส่วนแบ่งตลาด 40% รายได้หลัก nonoil มาจากธุรกิจคาเฟ่อเมซอน ในปี 2565 เราจะขยาย 400 สาขา จากปัจจุบันมี 3,796 สาขา และขยายในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 100 สาขา โดยเน้นให้ความสำคัญกับตลาดในเอเชียเป็นอันดับแรก

ส่วนร้านเท็กซัส ชิคเก้นปัจจุบันมี 87 ร้าน มีแผนจะเซตระบบและเปิดขายแฟรนไชส์ในปี 2566 นอกจากนี้ในปี 2565 จะต่อสัญญาระยะที่ 2 กับ บมจ.ซีพี ออลล์ ซึ่งครบ 10 ปี ไม่รวมสาขาร้านจิฟฟี่ที่มี 150 สาขาคงไว้ตามเงื่อนไข

แต่หากขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศก็จะใช้จิฟฟี่เป็นตัวหลัก และจะร่วมกับแฟลชเอ็กซ์เพรส ขยายบริการดรอปบอกซ์ไปเป็นบอกซี่ (ตู้ล็อกเกอร์รับสินค้าอัตโนมัติ) ที่ไม่ต้องอยู่ในร้านอเมซอน อำนวยความสะดวกลูกค้าที่เลิกงานดึก คงจะลงทุนเพิ่มไม่มาก” นายพิจินต์กล่าว

ด้าน นายสมยศ คงประเวช รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธุรกิจค้าปลีก OR กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโออาร์จะมีร้านค้าพันธมิตรหลายแบรนด์แล้ว แต่ยังมองหาโอกาสขยายการลงทุนร่วมกับพันธมิตรใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่รักสุขภาพมากขึ้น

หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการเจรจากลุ่มสินค้าอาหารสุขภาพหรือแนวเกาหลี คาดว่าจะได้ข้อสรุปในไตรมาส 1/2565

นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารฮั่ว เซ่ง ฮง 40 ร้าน ร้าน Pearly Tea จำนวน 159 ร้าน และมีบริษัท มอดูลัส จำกัด บริษัทลูก
ร่วมกับบริษัท พีเบอร์รี่ไทย จำหน่ายเมล็ดกาแฟ Pacamara และนำเข้าและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ชงกาแฟ

ทั้งยังมีร้านกาแฟ Pacamara อีกประมาณ 14 สาขา ร่วมกับบริษัท ปลูกผักเพราะรักแม่ จำกัด ในธุรกิจร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบรนด์ “โอ้กะจู๋” ซึ่งได้เริ่มจำหน่ายแบบ Grab & Go และได้เปิดสาขาแรกที่พีทีทีสเตชั่นเมืองทองธานีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

และบริษัท อิ่มทรัพย์ โกลบอล คูซีน จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารแบรนด์ “Kouen ซูชิ” และล่าสุดได้ลงทุน 480 ล้านบาทเข้าไปซื้อหุ้น 25% ของบริษัท คามุ คามุ จำกัด ผู้จำหน่ายชามุกคามุ คามุด้วย

เพิ่มสถานี EV ชาร์จ

นายพิจินต์กล่าวต่ออีกว่า แม้จะเห็นการลงทุนธุรกิจ nonoil หลัก ๆ ไปที่ธุรกิจ F&B (อาหารและเครื่องดื่ม) นั่นเป็นเพราะว่า สถานการณ์โควิด-19 ทำให้ร้านอาหารต่าง ๆ มุ่งมาที่สถานีบริการน้ำมันแทนห้าง เพราะค่าเช่าห้างแพงและยังโดนผลกระทบจากโควิด-19 อีกด้วย ส่งผลให้สถานีบริการน้ำมันเป็นสถานที่ที่ทุกคนต้องมา ทำให้มีทราฟฟิกมากขึ้น

ผู้ค้ามองถึงโอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น แต่เป้าหมาย nonoil ที่แท้จริงคือการสร้าง commodity area โดยต้องการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการให้ครบ โดยเตรียมขยายสาขา สถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีเป้าหมาย 300 สาขาในปี 2565 จากปัจจุบันที่มีเกือบ 100 สาขาแล้ว

“ในอนาคตหากพลังงานเปลี่ยนเป็น EV ในแต่ละแบรนด์จะไม่มีความแตกต่างกันในแง่ราคา ดังนั้นการดึงดูดผู้ใช้บริการสถานีจึงต้องเพิ่มสินค้าและบริการที่หลากหลาย จากข้อมูลการศึกษาพบว่า ผู้ใช้รถ EV จะใช้เวลาเฉลี่ย 15 นาทีต่อการชาร์จ 1 ครั้ง นานกว่าการเติมน้ำมัน 1 ครั้ง และจะชาร์จสัปดาห์ละ 3 วัน หรืออาจมากกว่านั้น

บางคนอาจจะชาร์จทุกครั้งที่มีเวลาว่าง นั่นหมายถึง ความถี่ในการเข้าปั๊มมากขึ้น และจากการเชื่อมโยงสมาชิกบัตรบลูการ์ด 7.5 ล้านรายที่สำคัญคือ ข้อมูล (data) ผู้รับบริการ ที่จะนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยการจัดแคมเปญเฉพาะบุคคล เช่น Just for You เราจึงมุ่งเพิ่มการแอ็กทีฟการใช้จากปัจจุบัน 60% มากกว่าการเพิ่มยอดสมาชิกบัตร” นายพิจินต์กล่าว

“โทเค็น” แลกสินค้า/ส่วนลด

นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการใช้ระบบ “บล็อกเชน” นำเหรียญโทเค็นมาใช้ ซึ่งจะใช้ลักษณะ เช่น แลกแต้มชำระค่าสินค้า หากจะทำโทเค็นควรเป็น stable coin เช่น 1 โทเค็นเท่ากับกาแฟ 1 แก้ว หรือ 1 โทเค็นเท่ากับส่วนลด 20 บาท ไม่ควรจะทำเป็นเหรียญเพื่อการเก็งกำไร (speculate coin)

แต่ยังดูอยู่ว่า จะให้สามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับเหรียญชนิดอื่นได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เราจะหาพันธมิตรมาพัฒนาร่วมกัน ยังไม่ได้จำกัดว่า จะเป็นแบงก์หรือน็อนแบงก์

“เทรนด์เรื่องนี้มาแน่นอนทั่วโลกเบรกไม่อยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วการใช้มีทั้ง efficiency และ safety เพราะ ระบบมันปิดอยู่บนบล็อกเชน การที่รัฐห่วงนั่นเป็นเรื่องภาพรวมระบบเศรษฐศาสตร์ ตลาดเงินและการใช้มาตรการทางการเงิน

หากมีการใช้มากขึ้นอาจจะคอนโทรลไม่ได้ แต่เราไม่ได้จะไปทำโทเค็นออกมาลักษณะนั้น เราทำเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนมากกว่า” นายพิจินต์กล่าว

บางจากรับเงินคริปโท

ขณะที่ค่ายน้ำมันบางจาก ก็ได้วางแผนลงทุน 5 ปี (2564-2568) ด้วยงบฯลงทุน 50,000 ล้านบาทก็มุ่งรุกสู่ธุรกิจ nonoil ต่อเนื่องเช่นกัน โดยนายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

บริษัทมุ่งขยายบริการสถานีชาร์จรถ EV ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และ MG ติดตั้งจุดชาร์จ EV ในสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ โดยปี 2565 จะขยายจำนวนสถานี 100 แห่ง มีเป้าหมายระยะทางทุก 100 กม.จะมีสถานีชาร์จ 1 สถานี ขณะเดียวกันได้เพิ่มจำนวนบริการรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Winnonie ซึ่งมีแผนจะให้ได้ 3,000 คันในปี 2565

ด้าน นายสมชัย เตชะวนิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดน้ำมันช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น

ประชาชนหันมาเดินทางท่องเที่ยวคึกคักมากขึ้นหลังจากคลายล็อก และจะดีต่อเนื่องถึงเดือนมกราคม 2565 แม้ว่ามีการแพร่ระบาดโอไมครอน แต่รอบนี้น่าจะเป็น “ตัวปิดเกม” ส่วนปีหน้าจะเกิดการเรียนรู้ปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้

“บางจากมีแผนขยายสาขาสถานีบริการจากปี 2565 ที่คาดว่าจะมีจำนวน 1,300 แห่ง จากปัจจุบัน 1,250-1,260 แห่ง และมีการขยายธุรกิจ nonoil ต่อเนื่อง ทั้งการขยายสาขาร้านกาแฟอินทนิลประมาณ 170 สาขา จากปัจจุบัน 739 แห่ง

พร้อมทั้งมุ่งเป้าเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตรบางจากให้ได้อีก 1.5 ล้านสมาชิก จากปัจจุบัน 5 ล้านสมาชิก ส่วนร้านค้าปลีกที่มีทั้งมินิบิ๊กซี ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต และแฟมิลี่มาร์ท มีจำนวน 190 สาขา” นายสมชัยกล่าว

พร้อมกันนี้ ในวันที่ 1 มกราคม 2565 บางจากร่วมกับบริษัท บิทาซซ่า จำกัด จะขยายบริการเปิดรับชำระด้วยเงิน “คริปโทเคอร์เรนซี” ที่้ร้านกาแฟอินทนิลเพิ่มขึ้นอีก 100 สาขา จากที่เริ่มทดลองใช้ 21 สาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑลเมื่อพฤศจิกายน 2564

เพื่ออำนวยความสะดวก-เพิ่มทางเลือก และสร้างประสบการณ์ดิจิทัลให้ลูกค้า ทั้งนี้บางจากจะขยายการชำระเงินคริปโททุกสาขาในไตรมาส 2 ปี 2565 และมีแผนจะขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ ของบางจากด้วย เช่น คาร์แคร์ สถานีบริการน้ำมัน

Big Move ของปั๊ม PT

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ กล่าวว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ธุรกิจ nonoil ของ PT “จบมหาวิทยาลัย” ซึ่งหมายถึง จะเป็นปี big move คืนกำไรสู่บริษัทแม่ได้นับจากเริ่มรุกเข้าสู่ nonoil เมื่อปี 2558 โดยสัดส่วนกำไรขั้นต้น nonoil เพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับจากปี 2563 ที่ 11% มาสู่ 13.2% ในปี 2564 และปี 2565 จะเพิ่มขึ้นถึง 20%

จากนั้นก็จะไปถึงเป้าหมายของ PTG ในปี 2569 ธุรกิจจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า หรือ 60% เพราะกำไรขั้นต้นของ nonoil ขณะนี้เยอะกว่าธุรกิจน้ำมันถึง 7 เท่ากว่า “อนาคตผมบอกได้ว่า จะไม่ได้แข่งว่าใครมีมาร์เก็ตแชร์มากกว่ากัน แต่มันจะแข่งว่าใครจะหนีออกจากธุรกิจน้ำมันได้เร็วกว่ากัน” นายพิทักษ์กล่าว

ภาพธุรกิจ nonoil ของ PT ในปี 2565 ไตรมาส 1 จะเปิดสถานีบริการแฟลกชิปสาขาแรกในกรุงเทพฯ มีขนาดใหญ่ 10 ไร่ และเพิ่มบริการครบ ต่อไปกลยุทธ์ของ PT จะไม่เน้นเพิ่มจำนวนสาขา แต่เน้นคุณภาพมากขึ้น

ขณะที่ภายในสถานีบริการน้ำมันจะถูกปรับเปลี่ยนไปเป็น “service station” ไม่ใช่การขายน้ำมัน แต่จะมีบริการด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ร้านกาแฟพันธุ์ไทย” มีแผนจะขยายสาขาเพิ่มขึ้นเท่าตัว จากปี 2564 ที่ขยายสาขา 25-30 สาขา และจะ big move ขยายในรูปแบบแฟรนไชส์ กระจายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกสถานีบริการ

ทั้งยังต่อยอดบริการแบบดีลิเวอรี่ด้วย พร้อมมุ่งเชื่อมโยงระบบสมาชิก Max World โดยปี 2565 จะเพิ่มจำนวนสมาชิกบัตร PT Max Card อีก 2.5 ล้านสมาชิกจากปี 2564 ซึ่งมีสมาชิก 17 ล้านสมาชิก และเพิ่มเป็น 30 ล้านสมาชิกในปี 2569 โดยเพิ่มมูลค่าแต้มสะสมและดึงพาร์ตเนอร์มาสร้างระบบนิเวศของเราแบบที่แตกต่างจากค่ายอื่น

สำหรับการพัฒนาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ตั้ง EleX นั้น ในปี 2565 จะเปิดเพิ่มจาก 5 เป็น 30 จุด เน้นสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เขาใหญ่, เขาย้อย, เมืองกาญจน์ก่อน และอนาคตหากการใช้รถ EV เพิ่มมากขึ้นถึงปีละ 10,000 คัน PT ก็พร้อมลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จเอง เพราะใช้งบประมาณไม่สูง และเทคโนโลยีมีโอกาสปรับเปลี่ยนหากลงทุนเร็วไป

“ค้าปลีกร้านแมกซ์มาร์ททำแซนด์บอกซ์มาหลายปีแล้ว ยังไม่มีกำไร แต่ปี 2565 จะพยายามทำให้ EBITDA เป็นบวก โดยจะปรับกลยุทธ์ให้แมกซ์มาร์ทเข้าไปช่วยโชห่วยเหมือนถูกและดี ถ้าโชห่วยซื้อของจากร้านไปจะได้แต้ม หรือซื้อไปก่อนจ่ายทีหลังก็ได้ ถ้าเครดิตดี ซึ่งจะช่วยให้โชห่วยไม่ทำอินเวนทอรี่สินค้า” นายพิทักษ์กล่าว