แนวโน้ม SET เดือน ส.ค. ยังดี แม้มีความเสี่ยงให้อ่อนตัวอยู่บ้าง

SET
คอลัมน์ : เติมความคิด พิชิตการลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด

สวัสดีครับท่านนักลงทุน ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของเดือน ก.ค. เป็นไปในทิศทางปรับลง กดดันจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ทั้งในสหรัฐและหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งการกลับมาพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนต้องล็อกดาวน์บางเมืองในจีน

รวมทั้งความเสี่ยงการขาดแคลนก๊าซธรรมชาติในยุโรป กดดันให้ SET ปรับลงไปทำจุดต่ำสุดของปีที่บริเวณ 1,517 จุด ก่อนที่จะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน ก.ค. มาจากแรงหนุนของการเข้าสู่ช่วงการรายงานงบ 2Q65 ที่ออกมาดีกว่าคาด การลดลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาต่าง ๆ เริ่มส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ก่อนที่การประชุมเฟด ช่วงปลายเดือน ก.ค.จะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ส่งผลให้ดัชนีปิดบวกได้ในเดือน ก.ค.นี้ และปรับขึ้นต่อเนื่องจนมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,600 จุด

ในเดือน ก.ค.ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งที่ 4.7 พันล้านบาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่สลับมาขายสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand แย่กว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1 และ 3 เดือนก่อนหน้า แต่ 6 และ 12 เดือนก่อนหน้ายังคงดีกว่า ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไรปี’65 ของ SET นั้น consensus มีการปรับขึ้น 0.43% เช่นเดียวกับจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ปรับขึ้น 0.72%, 0.63% และ 0.62% ตามลำดับ ตรงข้ามกับอินโดนีเซีย ฮ่องกง เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ที่ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 4.40%, 1.31%, 0.59% และ 0.26% ตามลำดับ

ด้านทิศทางผลการดำเนินงานใน Q2/65 จากการศึกษา บจ. (บริษัทจดทะเบียน) ที่ SCBS ดูแลทั้งหมด 90 บริษัท ประเมินว่ามี 12 บจ. ที่มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้หลังประกาศงบฯ 2Q65 คิดเป็น 68% ของกำไรรวมของหุ้นทั้งหมดที่มีโอกาสปรับประมาณการ ขณะที่มี 15 บจ. มีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรปีนี้หลังประกาศงบฯ 2Q65 คิดเป็น 32% ของกำไรรวมของหุ้นทั้งหมดที่มีโอกาสปรับประมาณการ จึงคาดว่าผลกระทบต่อภาพรวมของกำไรปีนี้ค่อนข้างจำกัด และมีผลต่อเป้าหมาย SET Index ไม่มากนัก

มาถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของดัชนีในเดือน ส.ค. คาด SET มีแนวโน้มปรับขึ้นได้ จากความคาดหวังเงินเฟ้อสหรัฐที่ผ่านจุดพีกไปแล้ว และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐที่ถดถอย หลัง GDP ติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้เฟดมีโอกาสชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามสถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างสหรัฐ และจีน หลังนางแนนซี เพโลซี เยือนไต้หวัน สร้างความไม่พอใจต่อจีน ซึ่งแม้ไม่มีการปะทะกันทางทหาร และเสร็จสิ้นการเยือนไต้หวันแล้ว ทั้งนี้ ให้ติดตามมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไต้หวันเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ หากเกิดขึ้นจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน และเศรษฐกิจโลกได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงหรืออาจสร้างความผันผวนให้กับตลาด

ด้านแนวโน้ม SET มองกรอบบนในเดือน ส.ค. อยู่ที่ 1,620 และ 1,650 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบล่างอยู่ที่ 1,560 และ 1,540 จุด ตามลำดับ

โดยกลยุทธ์ลงทุนแนะนำ “Selective Buy” ในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ และ/หรือ มีโมเมนตัมกำไรฟื้นตัวดี ได้แก่

1) BCP คาดกำไรปกติ 2Q65 จะยังคงแข็งแกร่ง โดยธุรกิจโรงกลั่นจะได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของ market GRM เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเพื่อการขนส่งเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจ E&P ก็จะสร้างกำไรเพิ่มขึ้น

2) AWC คาดผลการดำเนินงาน 2Q65 จะปรับตัวดีขึ้น YOY (เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน) ด้วยภาพรวมที่สดใสขึ้นจากการที่ไทยกลับมาเปิดประเทศ จึงคาดว่า 2H65 จะแข็งแกร่งกว่า 1H65 ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ 17%

3) ERW คาดผลการดำเนินงาน 2Q65 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ YOY และ QOQ (เทียบไตรมาสก่อนหน้า) โมเมนตัมที่แข็งแกร่งจะเกิดขึ้นต่อเนื่องใน 2H65 หลังจากประเทศไทยยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางทั้งหมด

4) IVL อุปทานที่ตึงตัวของห่วงโซ่คุณค่า PET ในตลาดตะวันตกช่วยหนุนกำไรต่อเนื่อง คาด 2Q65 โมเมนตัมกำไรดีต่อเนื่องทั้ง YOY และ QOQ จากอุปสงค์ PET ที่ยังแข็งแกร่ง และส่วนต่างราคา PET/PTA ทรงตัวสูง ส่วนปี 2565 คาดกำไรเติบโตเด่น 49% YOY

5) DELTA ธุรกิจ data center มียอดขายและมาร์จิ้นที่แข็งแกร่ง ปัญหาขาดแคลนชิปคลี่คลาย เริ่มมีแรงซื้อกลับหุ้นเทคโนโลยี โดย 2Q65 มีกำไรสุทธิดีกว่าตลาดมาก +158% YOY และ +53% QOQ คาดดีขึ้นต่อเนื่อง HOH ใน 2H65 จาก high season และมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในกลุ่ม data center และ EV


…แล้วพบกันใหม่ ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรักและหวังดี