ธนาคารไทยเครดิต แจ้งงบฯครั้งแรก กำไร Q1/67 ลดลง 51% ตั้งสำรองเพิ่ม

ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย

ธนาคารไทยเครดิต กำไรไตรมาสแรกเหลือ 449.6 ล้าน ลดลง 51% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุตั้งสำรองเงินให้สินเชื่อจัดชั้นที่ 2 เพิ่มขึ้น 2.3% เหตุรัดกุมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

วันที่ 22 เมษายน 2567 ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า สำหรับผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.) มีกำไรสุทธิ 449.6 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 51.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) สาเหตุหลักจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มสูงขึ้นของเงินให้สินเชื่อจัดชั้นที่ 2 (SM)

อย่างไรก็ตามธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 3,517.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% จากปัจจัยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่ยังเติบโต

นอกจากนี้ธนาคารยังมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารอยู่ในระดับต่ำที่ 37.6%

ทั้งนี้อัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 8.7% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยของธนาคาร สอดคล้องการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

อย่างไรก็ตามธนาคารและบริษัทย่อยตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตสำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น 2.3% เนื่องจากนโยบายการดำเนินงานอย่างรัดกุมเพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ADVERTISMENT

โดยโครงสร้างเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ (สิ้นไตรมาส 1/2567) มูลค่า 147,614 ล้านบาท ประกอบด้วย

• สินเชื่อไมโครเอสเอ็มอี 67.1%
• สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย 15.5%
• สินเชื่อบ้าน 15.2%
• อื่น ๆ 2.2%

ADVERTISMENT

รายได้ดอกเบี้ย

รายได้ดอกเบี้ยของธนาคาร เพิ่มขึ้น 19.6% จากเดิม 3,615.6 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2566 เป็น 4,325.9 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 635.8 ล้านบาท เนื่องมาจากปริมาณเงินให้สินเชื่อที่เติบโตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อหลักของธนาคาร โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์สินเชื่อธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี ประกอบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคาร รวมถึงรายได้ระหว่างธนาคารและตลาดเงิน และเงินลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้น

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของธนาคาร เพิ่มขึ้น 41.4% จากเดิม 571.7 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2566 เป็น 808.3 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 1 ปี 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากเงินรับฝากที่เพิ่มขึ้นเท่ากับ 161.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องมาจากปริมาณเงินฝากที่เพิ่มมากขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

สอดคล้องการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. โดยเฉพาะโปรแกรมเงินฝากประจำและเงินฝากประจำทันใจ ส่งผลให้คำใช้จ่ายเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากและ ธปท. เพิ่มขึ้นเท่ากับ 10.6 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตามธนาคาร มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากโปรแกรมเงินฝากประจำและเงินฝากประจำทันใจในเดือนกุมภาพันธ์ 2567

รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ

ด้วยเหตุผลดั่งกล่าวข้างตัน ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารในไตรมาส 1 ปี 2567 เท่ากับ 3,517.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ

รายจ่ายค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารสุทธิ เท่ากับ 30.2 ล้นบาท เพิ่มขึ้น 5.6 ล้านบาท หรือ 22.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินให้สินเชื่อ (บสย) เพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อนาโนและไมโครเครดิตเพื่อคนค้าขาย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการของธนาคารลดลงเล็กน้อย