
นายกสมาคม บลจ.เผยกองทุน TESG มีเม็ดเงินลงทุนแล้ว 2 หมื่นล้านบาท หวัง 2 สัปดาห์ท้ายปีเงินไหลเข้าเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน ขณะที่ “บลจ. เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์” คาดหนุนดัชนี SET ปิดสิ้นปีนี้ได้ที่ 1,500 จุด ด้าน “จิตตะ” มองผลตอบแทนหุ้น ESG ยังน้อย
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังลงทุนได้ โดยกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) สามารถเติบโตต่อไปได้ และมีหลายกลุ่มที่เติบโต ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันในประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นกว่า 10% ของมูลค่าซื้อขายทั้งหมด ในช่วง 2 เดือนติดต่อกัน (ต.ค.-พ.ย.) ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากการเข้าซื้อของกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG)
โดยปัจจุบันมีกองทุน TESG ทั้งสิ้น 51 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา กองทุน Tax Saving Fund จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามากในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปี เป็นเม็ดเงินกว่า 50% ทำให้คาดว่าช่วงที่เหลือของปีจะมี AUM เพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นล้านบาท รวมแล้วปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“การลงทุนในการลดหย่อนภาษีขึ้นอยู่กับนักลงทุนในการรับความเสี่ยง หากรับความเสี่ยงสูงได้อาจจะลงทุนที่หุ้นไทย หรือหากรับความเสี่ยงได้น้อยอาจจะลงทุนในตราสารหนี้ แต่ผลตอบแทนอาจจะได้น้อยกว่า”
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่ากระแสการลงทุนในกองทุน TESG ค่อนข้างดีในช่วงนี้ แต่ในการลงทุนปีนี้สามารถลงทุนได้หลากหลาย ไม่ใช่เพียงแค่หุ้นไทย แต่สามารถลงทุนในตราสารหนี้ได้ หรือสามารถลงทุนในกองผสม (หุ้น+ตราสารหนี้) ดังนั้น เม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่สูงมากนัก แต่ก็เริ่มเห็นกองทุนทยอยเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยบ้างแล้ว
“ต้นเดือน ธ.ค.หุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 1,420 จุด ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นมาที่บริเวณ 1,450 จุด และคาดว่า SET Index สิ้นปีจะสามารถปิดที่ 1,500 จุดได้”
สำหรับประเภทการลงทุนที่แนะนำ หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ อาจจะลงทุนกองทุนหุ้นไทยอย่างเดียว แต่ส่วนตัวมองว่าหุ้นไทยพื้นที่ขึ้นจำกัด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยที่เพิ่งจะเป็นเทรนด์ขาลง จึงมองว่าลงทุนกองตราสารหนี้น่าสนใจ
“ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยน่าจะไปได้ อย่างน้อยประมาณไตรมาส 1-2 ในปีหน้า แต่ถ้าในระยะกลางถึงระยะยาวน่าจะยากที่จะปรับขึ้นสูงได้ เพราะหุ้นไทยยังไม่ได้น่าดึงดูดความสนใจได้เหมือนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว”
นายประกิตกล่าวว่า ในบรรดากองทุนที่ลดหย่อนภาษีได้ TSEG น่าลงทุนมากที่สุด หากมองหาสิทธิในการลดหย่อนภาษี เนื่องจากระยะเวลาในการถือครองเพียง 5 ปี และลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 300,000 บาท ส่วนกองทุน SSF, RMF สามารถลงทุนต่างประเทศได้ และเลือกสินทรัพย์ลงทุนได้หลากหลาย ทั้งทองคำ, Blockchain เม็ดเงินที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยจึงไม่ได้มากนัก
“คาดว่าเม็ดเงินจากกองทุน SSF, RMF ไหลเข้าหุ้นไทยประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนกองทุน TSEG มองว่าจะเข้าตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีได้ 1.5 หมื่นล้าน ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดหุ้นไทยขึ้นได้”
ด้านนายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า จากเทรนด์ ESG ของโลกในปัจจุบันกำลังมาแรง แต่อาจจะสวนทางกับนักลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนของหุ้น ESG ที่ผ่านมาไม่ค่อย Perform จึงต้องกลับมาถามนักลงทุนว่าอยากได้กำไรหรืออยากรักษ์โลก แต่ส่วนใหญ่นักลงทุนอยากได้กำไรมากกว่า ดังนั้น ประเมินว่าผลตอบรับอาจจะไม่ดีมากนัก แต่อาจจะมีการลงทุนเพื่อประหยัดภาษีมากกว่า แต่เรื่องผลตอบแทนยาก และคาดว่าเม็ดเงินจะไม่ได้สูงมากที่จะช่วยพยุงตลาดหุ้นได้
“การลงทุนเพื่อจะประหยัดภาษีปลายปีนี้ แนะนำลงทุนกองทุน RMF ที่ลงทุนในประเทศจีนน่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีและสามารถประหยัดภาษีได้ด้วย”