คอลัมน์ Smart SMEs
โดย วีรวัฒน์ ปัญฑวังกูร ธนาคารกสิกรไทย
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- “พลังงานไฮโดรเจน” ถูกกว่าน้ำมัน 60% ไทยเริ่มศึกษาแต่ เยอรมัน กำลังจะเลิกใช้
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
กระแสความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมได้รับความสนใจและมีการตื่นตัวมากขึ้นในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก แต่ละปีประเทศไทยมีขยะพลาสติกราว 2 ล้านตัน แต่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ หรือรีไซเคิลได้เพียง 0.5 ล้านตัน หรือ 25% เท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกนำไปฝังกลบ/เผาหรือตกค้างในสิ่งแวดล้อม จากปริมาณขยะพลาสติกนำไปสู่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบสู่ปัญหาสภาพอากาศแปรปรวน
ผมจึงมองว่ากระแสการตื่นตัวทางด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นมานี้จะมีความยั่งยืน และได้รับการตอบรับจากทุกภาคส่วนมากกว่าที่ผ่านมา ทั้งจากผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับตัวมุ่งไปสู่การเป็นโมเดลธุรกิจที่ใส่ใจหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (go green) ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจ SMEs ดังต่อไปนี้
1.ผู้ผลิตในห่วงโซ่พลาสติกชีวภาพ เนื่องจากความต้องการพลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากพืชเกษตร เช่น มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด มาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่พลาสติกชีวภาพเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้น SMEs อาจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตแทนการเป็นผู้ลงทุนเอง เช่น การเป็นผู้รวบรวมวัตถุดิบทางการเกษตรป้อนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ เป็นต้น
2.ผลิตภัณฑ์ทดแทนพลาสติก ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ (reuse) หรือนำกลับมาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์ใหม่ (recycle) เช่น ถุงผ้า แก้ว กระดาษ โลหะ ปิ่นโต หรือวัสดุจากธรรมชาติอื่น ๆ ที่ย่อยสลายได้ เช่น กล่อง จาน ชาม หรือแก้วที่ผลิตจากชานอ้อย แป้งมันสำปะหลัง หรือแป้งข้าวโพด ที่เริ่มผลิตออกมาในตลาดมากขึ้น และมีเทคโนโลยีไม่ซับซ้อนเหมาะสำหรับ SMEs
3.ธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคที่ต้องการลดปริมาณขยะจากการใช้บรรจุภัณฑ์ เช่น ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าแบบเติม หรือ refill shop/station โดยให้ผู้ซื้อนำบรรจุภัณฑ์มาใส่เอง และคิดราคาตามน้ำหนัก โดยจำหน่ายสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องปรุงรส น้ำหอม สบู่ แชมพู น้ำยาชำระล้างต่าง ๆ ซึ่งจุดเด่นของธุรกิจนี้ คือ ราคาจำหน่ายต่ำกว่าสินค้าปกติทั่วไป เพราะไม่มีต้นทุนด้านบรรจุภัณฑ์ ค่าโฆษณา และค่าแบรนด์สินค้า และลูกค้ายังเป็นผู้กำหนดปริมาณที่จะซื้อได้ตามต้องการ
ถึงแม้ธุรกิจประเภทนี้อาจจะยังไม่แพร่หลายนัก และต้องใช้ระยะเวลาในการรับรู้ของประชาชน แต่หากสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้เร็วจะช่วยเพิ่มการรับรู้และจดจำให้กับธุรกิจ โดย SMEs ที่สนใจจะต้องศึกษาพฤติกรรมหรือความต้องการของตลาดเป้าหมาย ว่าต้องการสินค้า refill ประเภทใด รวมถึงศึกษาทำเลที่ตั้งธุรกิจซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น ตลาด หอพัก ชุมชนที่มีต่างชาติอาศัย รวมถึงการเจรจากับซัพพลายเออร์ เรื่องการส่งสินค้ามาในภาชนะขนาดใหญ่แล้วมาแบ่งขายในภายหลัง หรือปริมาณการสั่งซื้อสินค้าที่สอดคล้องกับตลาด เพื่อลดปัญหาสินค้าในสต๊อกหมดอายุ เป็นต้น
แต่ถึงแม้กระแสรักษ์โลกจะเป็นโอกาสให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ แต่ก็มีบางธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบเชิงลบจากกระแสนี้ เช่น SMEs ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก โดยเฉพาะผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง ที่ต้องเผชิญกับปัจจัยจากปริมาณการใช้ที่ลดลง อาจปรับตัวด้วยการวิจัยและพัฒนาหรือลงทุนใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ทดแทนสินค้าเดิม โดยคาดว่าจะยังพอมีระยะเวลาสำหรับการปรับตัวของภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
แต่อย่าลืมนะครับว่า ผู้ที่เริ่มปรับเปลี่ยนธุรกิจได้ก่อน จะสามารถเรียนรู้และเข้าใจสภาพความต้องการ ปัญหาและอุปสรรคของตลาด ทั้งยังช่วยสร้างภาพลักษณ์เป็นที่จดจำ และช่วยทางด้านการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้ดีกว่าธุรกิจที่เข้ามาทีหลัง