“สมหวัง”บุกตลาดประกัน 3 ปี โกยเบี้ย 6 พันล้าน จ่อ Q4 เคาะดีลพันมิตรขายสินค้าชีวิต

สมหวังเงินสั่งได้เปิดตัว “สมหวังกันภัย” บุกธุรกิจนายหน้าประกันเสริมแกร่งครบวงจร ตั้งเป้าสิ้นปีนี้เบี้ยรับรวม 500 ล้านบาท ฟุ้ง 3 ปี โกยเบี้ยแตะ 6,000 ล้านบาท จ่อไตรมาส 4 ดีลพันธมิตรบริษัทประกันชีวิตท็อป 5 นำร่องขาย “ตลอดชีพ-สะสมทรัพย์” ด้านพอร์ตสินเชื่อปีนี้คงเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโต 40% เพิ่มขึ้น 1.5 หมื่นล้านบาท ระบุไม่สนทำพิโกนาโนฯ

นายศุภชัย บุญสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเวย์ จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ และสินเชื่อทะเบียนรถ ภายใต้ชื่อ “สมหวังเงินสั่งได้” ในกลุ่มธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทจะเริ่มขยายธรุกิจประกันภัย หลังได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ “นายหน้าประกันภัย” จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อวันที่ 16 ม.ค.62 ภายใต้ชื่อ “สมหวังกันภัย” โดยคาดว่าการดำเนินธุรกิจช่วง 6 เดือนที่เหลือจะทำให้บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับรวมสิ้นปีอยู่ที่ 500 ล้านบาท และในอีก 3 ปีข้างหน้า (2562-2564) จะขยายเบี้ยประกันภัยรับรวมขึ้นมาอยู่ที่ 6,000 ล้านบาทได้ โดยปีแรกจะมีเบี้ยอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และปีที่สองเพิ่มขึ้นอีก 2,000 ล้านบาท และปีที่สามเพิ่มขึ้นอีก 2,500 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายหลักๆ 50% จะมาจากธุรกิจประกันวินาศภัยแยกเป็นประกันภัยรถยนต์ (มอเตอร์) ที่ 80% และอีก 20% มาจากประกันภัยที่ไม่ใช่รถ (น็อนมอเตอร์) ส่วนอีก 50% มาจากธุรกิจประกันชีวิต โดยการขยายสู่ธุรกิจนายหน้าประกันภัยนั้น จะส่งผลให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ครบวงจรมากขึ้น จากเดิมที่เติบโตจากธุรกิจสินเชื่อมอเตอร์ไซต์และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

“ปัจจุบันนี้เรามีฐานลูกค้าสินเชื่อรวมที่ 5 แสนราย มาจากสินเชื่อรถยนต์ประมาณ 4 แสนราย และสินเชื่อรถมอเตอร์ไซต์อีก 1 แสนราย โดยลูกค้าใหม่ที่เข้ามาในแต่ละปีเฉลี่ยอยู่ที่ 1-1.2 แสนราย” นายศุภชัยกล่าว

อย่างไรก็ดี ช่วงไตรมาส 4/62 นี้ คาดว่า “สมหวังกันภัย” จะเริ่มวางขายโปรดักต์ประกันชีวิตได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับบริษัทประกันชีวิตท็อป 5 ในอุตสาหกรรมฯ เพื่อร่วมกันพัฒนาโปรดักต์ โดยบริษัทได้ส่งข้อมูลกลุ่มลูกค้า อาทิ ฐานรายได้ ที่ปัจจุบันนี้ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 15,000-20,000 บาทต่อเดือน และลูกค้าสินเชื่อมอเตอร์ไซต์อยู่ที่ 12,000 บาทต่อเดือน ให้บริษัทประกันไปพัฒนาโปรดักต์ให้เหมาะสมเพื่อการนำเสนอขาย ซึ่งเบื้องต้นอาจจะเริ่มขายประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) และประกันสะสมทรัพย์ได้ก่อน

จากปัจจุบันที่ขายประกันภัยรถยนต์, ประกันภัยรภมอเตอร์ไซต์, ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.), ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล, ประกันภัยคุ้มครองมะเร็ง, ประกันสุขภาพ และประกันภัยคุ้มครองภาระหนี้ไปแล้ว โดยสัดส่วนมากกว่า 80% ป้อนงานให้กับบริษัท กรุงเทพประกันภัย, วิริยะประกันภัย, เมืองไทยประกันภัย, ประกันภัยไทยวิวัฒน์ และเป็นพันธมิตรแบบ “Exclusive” กับเอไอเอในการขายประกันภัยคุ้มครองภาระหนี้ โดยปัจจุบันถือว่าบริษัทมีพันธมิตรบริษัทประกันภัยรวมแล้วมากกว่า 20 แห่ง

“โอกาสเติบโตในธุรกิจนี้มีอีกมาก หากดูในตลาดรถยนต์ รถเก๋งและกระบะที่จดทะเบียนมีมากกว่า 9 ล้านคัน ขณะที่รถมอเตอร์ไซต์มีมากกว่า 20 ล้านคัน ฉะนั้นยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ” นายศุภชัยกล่าว

ทั้งนี้บริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาดผ่านช่องทางสาขาของสมหวังเงินสั่งได้ทั่วประเทศที่สิ้นปีนี้จะมีอยู่กว่า 300 สาขา จากปััจจุบันที่มี 240 สาขา โดยคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าจะขยายไปถึง 500 สาขาได้ โดยใช้เงินลงทุนสาขาแบบคูหาเดียวที่ 9 แสนบาทต่อสาขา และสาขาแบบ 2 คูหาประมาณ 1.1-1.2 ล้านบาท โดยปัจจุบันการปล่อนสินเชื่อต่อสาขาเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ล้านบาทต่อสาขา เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 50 ล้านบาทต่อสาขา โดยคาดว่าภายใน 3 ปีจะเพิ่มเป็น 70 ล้านบาทต่อสาขา

ด้านสินเชื่อรถมอเตอร์ไซค์ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ 40% หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 15,000 ล้านบาท ผ่านการขยายสาขาสมหวังเงินสั่งได้ ซึ่งจะกระจายไปตามพื้นที่ที่มีศักยภาพ ได้แก่ หัวเมืองใหญ่ เขตโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) กรุงเทพและปริมณฑล เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้า โดยคาดว่าสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้จะมาอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลสินเชื่อจำนำทะเบียนรถนั้น มองว่า เป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา มีบริษัทหลายแห่งที่ดำเนินการและมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ดังนั้นการมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมาดูแล โดยเฉพาะในเรื่องของการคุมอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 28% นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นธรรมกับลูกค้า สำหรับบริษัทนั้นคิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับ 12-15%

ส่วนเทรนด์ที่หลายบริษัทขยายตลาดไปทำธุรกิจพิโกนาโนไฟแนนซ์ มองว่าไม่น่าจะคุ้มกับต้นทุนที่ลงไป เนื่องจากพิโกทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และถ้าจะทำทั้ง 77 จังหวัดนั้นอาจต้องใช้เงินจำนวนมาก