นางอภิพันธ์ เจริญอนุสรณ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4/62 คาดว่าธนาคารจะเริ่มให้บริการสินเชื่อผ่านกลุ่มคนขับ (GET Driver) ได้ประมาณ 10,000 ราย จากฐานกลุ่มคนขับ GET ที่ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 20,000 ราย
โดยคาดว่าจำนวนวงเงินปล่อยสินเชื่อจะอยู่ราว 80,000- 100,000 บาทต่อราย คิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 28% ต่อปี โดยคนขับที่สนใจธนาคารจะมีวงเงินสินเชื่อให้หลายประเภท ตั้งแต่พึ่งเริ่มขับมอเตอร์ไซต์กับGET หรือคนขับมานานจนเซียน ก็จะได้รับวงเงินสินเชื่อคนละแบบกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นวงเงินสินเชื่อแต่ละรายจะขึ้นอยู่กับจำนวนรายได้ด้วย
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
- BITE SIZE : ขึ้นค่าแรง 10 จังหวัด-ปรับเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มขึ้นเท่าไร
โดยเบื้องต้นการปล่อยสินเชื่อคนขับ GET Driver นั้น อาจจะต้องประเมินทรานแซกชั่นอย่างน้อย 3 เดือน ถึงจะปล่อยวงเงินสินเชื่อได้ เนื่องจากไม่มีรายได้ประจำมาก่อน อย่างไรก็ดีคาดว่าในอนาคตธนาคารยังสามารถที่จะให้บริการสินเชื่อประเภทอื่นๆ แก่กลุ่มคนขับ GET ควบคู่กับการดำเนินชีวิตได้อีก เช่น สินเชื่อเพื่อการศึกษาบุตร, สินเชื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
“การจับมือพันธมิตรในอนาคตข้างหน้ายังมีอีกหลายๆ แห่ง เพราะเป็นนโยบายของธนาคารที่ต้องปรับตัวเองหลังถูก Digital Disruption โดยเราดูโอกาสจากความสามารถว่าจะไปในทิศทางไหน แต่ก็สนใจทุกเซ็กเตอร์ เพราะอย่างวันนี้ถ้าไม่เป็นพันธมิตรกับGET เราคงไม่ได้ฐานลูกค้ามาใหม่ 1-2 หมื่นคน” นางอภิพันธ์กล่าว
นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารGET กล่าวว่า ปัจจุบันแอปพลิเคชั่น GET ให้บริการอยู่ทั้งหมด 4 บริการคือ GET Win, GET Food, GET Messenger, GET Delivery มีจำนวนคนขับทั้งหมด 20,000 ราย จำนวนร้านค้า 20,000 ร้านค้า และจำนวนผู้ใช้งาน (User) ทั้งหมด 3 แสนราย คาดว่าทั้งปีนี้จำนวนผู้ใช้งานจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านรายได้
โดยขณะนี้บริษัทกำลังดำเนินการให้บริการ GET PAY ครบรูปแบบได้เร็วๆ นี้ ซึ่งจะเป็นบริการแบบไร้เงินสด (Cashless) ที่สามารถไปใช้ได้ในสถานที่ต่างๆ ขณะนี้อยู่ในระหว่างทดสอบระบบ ซึ่งมีธุรกรรมค่อนข้างมาก และคาดว่าเร็วๆ นี้ จะให้บริการผ่าน GET Food ได้ หลังจากปัจจุบันเริ่มใช้ใน GET Win แล้ว
“ถ้าคนหันมาสนใจแอปพลิเคชั่นเยอะขึ้น ก็จะทำให้จีดีพีออนไลน์เติบโตมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย” นายภิญญากล่าว
