2 บลจ.คงเป้าดัชนีหุ้น 1,750 จุด หวังนโยบายรัฐแรงส่งปลายปี

สอง บลจ.คงเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1,750 จุด บลจ.กสิกรไทยชี้หุ้นไทยได้อานิสงส์สภาพคล่องหนุนตลาด ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานหุ้น-เศรษฐกิจโลก/ไทยเผชิญขาลงยังน่าห่วง หวังรัฐบาลใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจเป็นแรงส่งครึ่งปีหลัง ฟาก บลจ.พรินซิเพิล มองตลาดไร้ปัจจัยบวกใหม่ แนะลดน้ำหนักลงหุ้นหันไปถือบอนด์สั้นแทน

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรฯยังคงเป้าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ SET (SET Index) ปีนี้ที่ 1,750 จุด ราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ที่ 16 เท่า เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นไทยประคองตัวได้ด้วยสภาพคล่องในตลาดที่สูง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง ส่งผลให้เงินลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น เพื่อรับผลตอบแทนสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานในเรื่องของเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ขาลง รวมถึงกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปีนี้ยังถูกปรับลดประมาณการลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยในประเทศ หลังจากมีรัฐบาลใหม่ หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็น่าจะเห็นการผลักดันมาตรการหรือนโยบายเร่งด่วนที่เข้มข้นขึ้น โดยหากสามารถทำนโยบายออกมาได้ดี จะกลายเป็นจุดเสริมให้ปัจจัยในประเทศ และจะช่วยหนุนให้ SET Index ช่วงปลายปี 2562 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,700-1,800 จุดได้

“ปัจจุบัน SET Index ปรับขึ้นมาประมาณ 10% กว่า ๆ จากจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,600 จุด ทำให้โอกาสปรับขึ้น (upside) เหลือไม่มาก แต่จากสภาพคล่องในตลาดยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ จากความกังวลเฟดลดดอกเบี้ย รวมถึงหากรัฐบาลใหม่สามารถจัดทำนโยบายเศรษฐกิจได้ดี จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยสามารถปรับขึ้นต่อได้ แต่ไม่น่าจะเกิน 1,800 จุด ในช่วงครึ่งหลังที่เหลือ” นางสาวธิดาศิริกล่าว

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า บริษัทคงเป้า SET Index ปีนี้ที่ 1,750 จุด เนื่องจาก SET Index ได้ปรับขึ้นมาประมาณ 200 จุดแล้วจากต้นปี นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้ามาหนุน และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอีกว่าอาจเติบโตช้าลง จากเดิมสามารถเติบโตได้ในระดับ 3% ปลาย ๆ แต่ปัจจุบันตลาดกลับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 3% ต้น ๆ เท่านั้น

ขณะที่ตลาดหุ้นต่าง ๆ ทั่วโลกอาจใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้วเช่นกัน หลังปรับขึ้นสูงถึง 15% จากต้นปี โดยเป็นการปรับขึ้นบนความคาดหวังว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้ ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจเผชิญความผันผวนได้ โดยการลงทุนในช่วงนี้เพื่อตั้งรับกับภาวะตลาดที่อาจผันผวน จึงแนะนำให้ปรับน้ำหนักการลงทุน เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัย (defensive) และกลุ่มที่ให้เงินปันผลสูง นอกจากนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศมีโอกาสจะปรับฐานในระยะสั้น แนะนำให้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงและเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแทน