“DOHOME” เคาะราคาไอพีโอ 23 ก.ค.นี้ เล็งออกกรีนชู 56.16 ล้านหุ้น ลุยทุ่มงบลงทุน 300 ล้านต่อสาขารวม 7 แห่งภายในปี 64 

บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME คาดเคาะราคาไอพีโอ 23 ก.ค.นี้ ผ่าน Book Building พร้อมคาดวันซื้อขายวันแรกวันที่ 6 ส.ค.62 เล็งออกกรีนชู 56.16 ล้านหุ้น สร้างเสถียรภาพของราคาหุ้นช่วงตลาดผันผวน ทุ่มงบลงทุนสาขาขนาดใหญ่ 250-300 ล้านบาทต่อสาขา รวม สาขาภายในปี 2564 

นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ภายในวันที่ 23 ก.ค.62 นี้ คาดว่าจะสามารถเคาะราคาหุ้นไอพีโอได้ผ่านการทำราคาเสนอขายหุ้นจากการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) จากนักลงทุนสถาบัน และคาดว่าจะสามารถซื้อขายวันแรกได้ช่วงวันที่ 6 ส.ค.62 โดยเสนอขายหุ้นไอพีโอเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 456.16 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม อีกจำนวนไม่เกิน 8.88 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้น 465.04 ล้านหุ้น ราคาพาร์ละ 1 บาท โดยจะแบ่งขายให้กับนักลงทุนสถาบันสัดส่วน 60% และที่เหลืออีก 40% ขายให้กับนักลงทุนทั่วไป

นอกจากนี้อาจจะมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู)จำนวนไม่เกิน 56.16 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 521.2 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 28.1% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังเสนอขายครั้งนี้ เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพของราคาหุ้นในช่วงที่สภาวะตลาดอาจมีความผันผวน ซึ่งอาจมีโอกาสทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาเสนอขายได้ ขณะเดียวกันกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ติด Silent Period สัดส่วนกว่า 20% จะไม่ขาย จำหน่าย จ่าย โอน และแปรสภาพหุ้นเป็นเวลา 1 ปี หลังจากที่จดทะเบียนแล้ว

โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ฯ ที่จัดจำหน่ายคือ 1. บล.กสิกรไทย 2.บล.ภัทร เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และมีอีก 3 บริษัทที่ร่วมจัดจำหน่ายคือ 1.บล.ไทยพาณิชย์ 2.บล.กรุงศรีฯ 3.บล.ธนชาต

“เราเข้าไปพบนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศทั้งหมดกว่า 30 เจ้า และเริ่มโรดโชว์นักลงทุนสถาบันมาสักระยะหนึ่งแล้ว เชื่อว่าน่าจะกำหนดราคาเสนอขายหุ้นได้ประมาณวันที่ 23 ก.ค.นี้ โดยใช้วิธีการ Book Building นักลงทุนสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ” นายอนุวัฒน์กล่าว

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนใหญ่จะนำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน เพื่อลดอัตราหนี้สินต่อทุนจาก 3.5 เท่า ให้เหลือต่ำกว่า 2 เท่า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินคงค้างกับธนาคารกสิกรไทย จำนวน 4,101.29 ล้านบาท และมีหนี้สินคงค้างกับธนาคารเกียรตินาคิน จำนวน 51.37 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะใช้ในการขยายสาขา พัฒนาระบบไอที และเป็นเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติไฟลลิ่งของบริษัทแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันเพื่อให้ข้อมูลก่อนกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย

นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร (One-stop Home Products Destination) กล่าวว่า บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ มีความหลากหลายและครบถ้วน ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ ภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี…ที่ดูโฮม” มาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปี โดยช่วงที่ผ่านมา DOHOME ได้เตรียมความพร้อมทั้งการเพิ่มทีมผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์และความชำนาญ และการเปิดศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งวางแผนการขยายสาขารูปแบบใหม่ไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและอุปการณ์ตกแต่งบ้าน รวมไปถึงการขยายตัวของสังคมเมืองและการเพิ่มขึ้นของความต้องการซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

ปัจจุบัน DOHOME มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 9 สาขา ได้แก่ อุบลราชธานี, นครราชสีมา, รังสิต, ขอนแก่น, อุดรธานี, พระราม 2, บางบัวทอง, เชียงใหม่, และบางนา โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้าประมาณ 35,000 – 65,000 ตารางเมตรต่อสาขา รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่งที่ จ.ปทุมธานี โดยแบ่งสินค้าที่จำหน่ายออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มวัสดุซ่อมแซม และกลุ่มวัสดุตกแต่ง รวมรายการสินค้ามากกว่า 135,000 รายการ (SKUs) และช่วงเดือน ต.ค.62 กำลังจะเปิดสาขาที่ 10 ที่เพชรเกษม

นอกจากนี้ DOHOME ยังจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของ DOHOME (House Brand) มากกว่า 20,000รายการ (SKUs) เช่น เครื่องมือช่าง, ฮาร์ดแวร์, ประตู-หน้าต่าง, กระเบื้อง, สุขภัณฑ์, และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่สามารถแข่งขันได้ รวมถึงพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ซึ่งสามารถตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป และด้วยจุดเด่นด้านสินค้าที่ครบครันทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก ราคาที่สามารถแข่งขันได้และการให้บริการอย่างครบวงจร ซึ่งรวมถึงการบริการจัดส่งสินค้า การบริการบำรุงรักษาซ่อมแซม การบริการประกอบและติดตั้ง การบริการให้คำปรึกษาและดำเนินการออกแบบตกแต่ง และการบริการจัดหาสินค้าพิเศษ โดยมีลูกค้าหลักคือ ร้านค้าช่วง ผู้รับเหมาก่อสร้างและงานโครงการ หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย

นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME กล่าวว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งโดยในปี 2561 มีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุก่อสร้างประมาณ 46-49% สัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุซ่อมแซมประมาณ 35-38%และสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุตกแต่งประมาณ 15-17%

นอกจากนี้ในไตรมาส 1/62 บริษัทมีรายได้รวม 4,980.24 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 246.68 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,940.12 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 185.63 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนการขายสินค้า House Brand เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ขณะที่สัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้า House Brand ในปี 2559-2561 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 11.4% 14.3% และ 14.4% ของรายได้จากการขายและค่าบริการตามลำดับ โดยในไตรมาส 1/62 มีสัดส่วนอยู่ที่ 14.5% พร้อมวางเป้าหมายภายในปี 2565 จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการจำหน่ายสินค้า House Brand เป็น 20% ของรายได้จากการขายและค่าบริการรวม

นอกจากนี้บริษัทวางแผนขยายสาขาทั่วภูมิภาคของประเทศผ่านเป้าหมายการเปิดสาขาขนาดใหญ่รูปแบบใหม่ที่มีขนาดพื้นที่เล็กลง โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้าเฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 23,000 ตารางเมตร รวม 7 สาขา ภายในปี 2564 ในหัวเมืองที่สำคัญ โดยใช้งบลงทุนราว 250-300 ล้านบาทต่อสาขา รายได้เป้าหมายอยู่ที่ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อสาขา โดยยังคงความครบถ้วนของสินค้าไว้ไม่แตกต่างจากสาขาเดิม รวมถึงการพัฒนาโมเดลขยายสาขาขนาดเล็กภายใต้ชื่อ “Dohome To Go” ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 300-1,000 ตารางเมตรรวม 90 สาขา ภายในปี 2564 แบ่งเป็นในปี 2562 จำนวน 10 สาขา ในปี 2563 จำนวน 30 สาขา และในปี 2564 จำนวน 50 สาขา

โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยเป้าหมายกลุ่มสินค้าหลักคือ ซ่อมแซมและตกแต่ง เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ต้องการปรับปรุงซ่อมแซมตกแต่งบ้านและสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถเพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการขยายสาขา โดยใช้งบลงทุนราว 5,000-6,000 บาทต่อตารางเมตร รายได้เป้าหมายอยู่ที่ 80,000-120,000 บาทต่อตารางเมตรต่อปี

นอกจากนี้ DOHOME ยังได้วางกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้า House Brand ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 31-35% โดยเฉลี่ยที่สูงกว่าสินค้าประเภท Non-House Brand อยู่ที่ 13-18% อย่างไรก็ดีคาดว่าเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากสินค้า House Brand ที่ประมาณ 30% สำหรับสาขาขนาดเล็กหรือ “Dohome To Go” รวมไปถึงการวางกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จากการเปิดดำเนินการศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) ในเดือนมิถุนายนปี 2561 ที่ผ่านมา โดยมีขนาดพื้นที่สำหรับคลังสินค้าจำนวน 41,580 ตารางเมตรในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีความสะดวกต่อการรับ เบิกจ่าย และจัดส่งสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าและสาขาของDOHOME ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ DOHOME มีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดจำนวนพนักงานในคลังสินค้า และจะช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บและขนส่งสินค้าได้ในอนาคต” นางสลิลทิพกล่าว