COVID-19 กำลังสร้างความเสี่ยงสูงสุด ต่อเศรษฐกิจโลกและตลาด

คอลัมน์ สถานีลงทุน
โดย สุรศักดิ์ ธรรมโม บลจ.วรรณ

ในบทความครั้งก่อนเมื่อต้น ก.พ. ผมได้มีมุมมองในแง่ลบต่อการระบาดของโรค COVID-19 อย่างไรก็ดี มุมมองเชิงลบครั้งก่อนอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าการระบาดจะจำกัดอยู่ในจีนเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดขยายไปทั่วโลก ทั้งที่การระบาดเริ่มต้นในจีน ที่เมืองอู่ฮั่น เมื่อต้น ธ.ค.ปีที่แล้ว และรัฐบาลจีนใช้มาตรการปิดเมืองและเส้นทางคมนาคมในหลายเมืองทั่วประเทศจีนปลาย ม.ค. 63 เพื่อคุมการระบาดให้ได้ ซึ่งการใช้มาตรการรุนแรงเช่นนี้ ผลที่ควรจะเป็นคือการระบาดนอกประเทศจีนควรจะเพิ่มในอัตราที่ช้ามากและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดที่ควรจะเป็น คือผลกระทบลบจากเศรษฐกิจจีนที่จะชะลอตัวนั้นจะส่งผลลบไปยังทั่วโลกที่เชื่อมกับประเทศจีนทางเศรษฐกิจและการเงิน

แต่ความเป็นจริงล่าสุด คือ จีนเริ่มคุมสถานการณ์ได้ กล่าวคือ อัตราผู้ป่วยที่รักษาหายต่อผู้ป่วยทั้งหมด (recovered/total confirmed cases) อยู่ที่ 50% ขึ้นไป หมายความว่า คนที่เป็นโรค COVID-19 มีโอกาสหายมากกว่าครึ่ง นอกจากนี้ อัตราผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนอยู่ในระดับที่ต่ำ สะท้อนประสิทธิภาพมาตรการในการคุมการระบาดด้วยการปิดเมือง และมาตรการติดตามผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อของจีนเริ่มได้ผล

แต่สถานการณ์นอกประเทศจีน กลับผิดคาด คือ เรากำลังเผชิญกับภาวะการระบาดของ COVID-19 ไปทั่วโลก ต่อให้สถานการณ์ระบาดในจีนเริ่มดีขึ้น จนตอนนี้รัฐบาลจีนกลับมากลัวนักท่องเที่ยว หรือผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าจีน ว่าจะนำเชื้อกลับมาระบาดใหม่ซ้ำในจีน แต่ทั่วโลกที่ไม่ใช่จีนกำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างสูงสุดและถึงที่สุด ทั่วโลกจะส่งผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจของตน ย้อนกลับไปที่จีน จากก่อนหน้านั้น จีนส่งผลลบของตนไปทั่วโลก เพราะเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงและพึ่งพิงกันและกัน ผ่านการส่งออกและการนำเข้า รวมทั้งการกระจายเครือข่ายการผลิตไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

ตอนนี้เมื่อสถานการณ์การระบาดกระจายไปทั่วโลก ต่อให้สถานการณ์การระบาดในจีนที่เป็นต้นตอดีขึ้น ก็ไม่มีประโยชน์ในเศรษฐกิจภาพรวม โดยเศรษฐกิจโลกในปีนี้มีความเสี่ยงที่อัตราการขยายตัวจะต่ำกว่า 2% และถือว่าเป็นอัตราที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่การถดถอย (ต่ำกว่า 3%)

นอกจากนี้ ปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจโลกให้ชะลอลงอย่างมาก ไม่ใช่วิกฤตสถาบันการเงิน ไม่ใช่วิกฤตอัตราแลกเปลี่ยน และยิ่งมิใช่วิกฤตหนี้สาธารณะ หากแต่เป็นวิกฤตจากโรค COVID-19 เป็นโรคระบาดอย่างร้ายแรงและมีอันตรายระดับสูง (ตามประกาศล่าสุดองค์การอนามัยโลก) และวิกฤตจาก COVID-19 ถ้าขยายตัวระบาดต่อเนื่องและไม่ยุติในปีนี้ จะเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดวิกฤตสถาบันการเงินและวิกฤตอื่น ๆ ข้างต้น ในแง่นี้ COVID-19 เป็นความเสี่ยงที่ไม่มีใครคาดมาก่อน และเมื่อเกิดการระบาดทั่วโลก จะสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวอย่างสูง ดังนั้น COVID-19 คือ black swan

เมื่อต้นเหตุของวิกฤตนี้มาจากโรค COVID-19 จุดสิ้นสุดของวิกฤตไม่ใช่นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ไม่ใช่นโยบายการเงินแบบ QE หรือนโยบายการคลังแบบขาดดุลงบประมาณ แต่จุดสิ้นสุดวิกฤต COVID-19 จะต้องมาจาก 1) วัคซีน ซึ่งเร็วสุดก็จะใช้เวลา 1.5 ปีขึ้นไป ในการคิดค้นและนำสู่การรักษาในวงกว้าง 2) ยาต้านไวรัสที่มีประสิทธิผลในการรักษาสูง มีหลายสูตรและหลายประเภท แต่ประสิทธิภาพ ณ ขณะนี้ ซึ่งเราสามารถใช้อัตราผู้ป่วยที่รักษาหายต่อผู้ป่วยทั้งหมดเป็นเกณฑ์ และอัตราที่บ่งชี้ว่าสถานการณ์ควบคุมได้และสถานการณ์ดีขึ้นอย่างมากควรอยู่ที่ 85% ขึ้นไป แต่ตอนนี้สถานการณ์ตามข้อ 2) ยังไม่ได้ดีขึ้น เพราะอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 50-53% เท่านั้นเอง

ฉะนั้นจากนี้ไป เรากำลังเผชิญความเสี่ยงต่ออุปสงค์มวลรวม (demand side) และอุปทานมวลรวม (supply side) กำลังได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยผลลบต่อด้านอุปสงค์ที่เห็นชัด คือ การชะลอตัวลงมากของการซื้อสินค้าและบริการ จนกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทจำนวนมากทั่วโลก และอาจจะนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของตราสารหนี้จำนวนมากทั่วโลก ขณะที่ด้านอุปทาน นอกจากการปิดโรงงานและร้านค้าหลายแห่งจำนวนมากทั่วโลก ทำให้การผลิตสินค้าและบริการทั่วโลกชะงักแล้ว สถานการณ์การระบาดในอิหร่านเป็นที่น่ากังวลมาก และถ้าระบาดไปทั่วตะวันออกกลางอาจจะนำไปสู่การลดลงของอุปทานพลังงานโลก จากการลดลงของการขนส่งลำเลียงพลังงานออกจากตะวันออกกลาง อาจจะทำให้หลายประเทศที่พึ่งพิงการนำเข้าพลังงานจากตะวันออกกลางในระดับสูง จะประสบปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ซึ่งนั่นจะซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในประเทศให้แย่เพิ่มไปกว่าเดิม

คำแนะนำของผม คือยังเร็วเกินไปที่จะเข้าซื้อหุ้นทั่วโลก หรือซื้อเพิ่มเติม ณ ราคาปัจจุบัน จากความเสี่ยงข้างหน้า โดยสถานการณ์ที่เราประเมินว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ เช่น การแพร่ระบาด COVID-19 กินเวลานานถึง มิ.ย.ปีนี้ และอาจจะทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเลื่อนมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ออกไป การปิดเมืองในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งประเทศต่าง ๆ จะเลือกชีวิตพลเมือง แทนมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ต้องสูญเสีย เพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงมาก และกระทบต่อกระแสเงินสดและกำไรของบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากให้ลดลง และหลายบริษัทจะขาดทุน


อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ black swan แบบนี้ สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องลงทุนและผลตอบแทนจากการลงทุน หากแต่เป็นการรักษาชีวิตตนเอง และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในความร่วมมือกัน เพื่อยับยั้งและหยุดยั้งการระบาดของโลก ขอเพียงมีชีวิต ยังมีโอกาสในการลงทุนเสมอ