“KBANK-SCB” โชว์ฐานะแกร่ง เงินกองทุนปึ้กฝ่าวิกฤตไวรัส

SCB เปิดโครงการ สมัครใจลาออก พนักงาน

2 แบงก์ใหญ่โชว์ฐานะแข็งแกร่งรับมือวิกฤต “โควิด-19” เงินกองทุนยังปึ้ก “กสิกรไทย” อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ณ สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 15.17% ฟาก “ไทยพาณิชย์” อยู่ที่ 16.1% พร้อมประกาศเลิกโครงการซื้อหุ้นคืน 1.6 หมื่นล้านบาท ตุนหน้าตักไว้รองรับช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือ ด้านผลประกอบการไตรมาสแรก “แบงก์รวงข้าว” กำไรสุทธิทรุด 34.47% ส่วน “แบงก์ใบโพธิ์” กำไรโตได้ 1%

นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 3,483,527 ล้านบาท (ณ 31 มี.ค. 2563) เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 189,638 ล้านบาท หรือ 5.76% ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินสุทธิ และการเติบโตของสินเชื่อ ขณะที่เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (% NPL gross) อยู่ที่ 3.86% จากสิ้นปี 2562 ที่อยู่ที่ 3.65% โดยธนาคารได้มีการติดตาม ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งควบคุมดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงตามเกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 18.53% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.17% ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (coverage ratio) อยู่ที่ 138.66% จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 148.60%

โดยไตรมาสแรกปีนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6,581 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 3,463 ล้านบาท หรือ 34.47%

“กิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 1 ปี 2563 หดตัวลงในเกือบทุกภาคส่วน เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19” นายพัชรกล่าว

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ที่ 16.1% และเงินกองทุนรวมตามกฎหมายที่ 17.2% (ณ 31 มี.ค. 2563) แต่จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่จัดได้ว่าเป็นช่วงวิกฤต ที่มีความผันผวนและความไม่แน่นอนระดับสูงมาก ทั้งในตลาดการเงินและเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยที่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด คณะกรรมการธนาคารจึงได้มีมติให้ยกเลิกโครงการซื้อหุ้นคืนของธนาคารในวงเงินไม่เกิน 16,000 ล้านบาท ที่ได้อนุมัติไปเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2563 เพื่อให้ธนาคารสามารถเข้าช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารให้ก้าวผ่านวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่นี้ไปได้อย่างดีที่สุด

“การดํารงเงินกองทุนในระดับสูงและการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังจะช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับวิกฤตจากโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจมหภาคที่มีแนวโน้มถดถอยในปี 2563 ได้”

ทั้งนี้ ในไตรมาสแรก ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 9,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากรายได้รวมที่ขยายตัว 9% จากปีก่อน พร้อมกับที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งธนาคารได้ตั้งเงินสำรอง 9,726 ล้านบาท เพื่อรองรับหนี้ด้อยคุณภาพที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงให้สอดคล้องกับมาตรฐานบัญชีใหม่ ทั้งนี้ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (% NPL gross) อยู่ที่ 3.17% จากสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 3.41%

“แม้ว่าธนาคารมีผลประกอบการในไตรมาสแรกของปีอยู่ในเกณฑ์ดี แต่การแพร่ระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 กำลังสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อประชาชนและภาคเอกชน และ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจธนาคารทั้งในด้านรายได้และคุณภาพสินเชื่อ ซึ่งคาดว่าผลกระทบดังกล่าวจะปรากฏอย่างชัดเจนในไตรมาสถัด ๆ ไป” นายอาทิตย์กล่าว