จับตาปรากฏการณ์ใหม่หุ้นไทย “Sell in June” หลังโกงตายเดือน พ.ค.

AFP PHOTO / Christophe ARCHAMBAULT

ตลาดหุ้นไทยรอดพ้นจากอาถรรพ์ “Sell in May” มาได้ โดยดัชนี SET index บวกทะลุแนวต้าน 1,300 จุด แถมผลตอบแทนยังบวกขึ้นประมาณ 2.22% ซึ่งจะด้วยผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิด “ความปกติใหม่” (new normal) อย่างที่กำลังเป็นกระแสที่ทุกคนพูดถึงกันหรือไม่ก็ตาม ล่าสุดก็มีเสียงเตือนจากบรรดานักวิเคราะห์ว่า ปรากฏการณ์เดิมอาจจะ “เลื่อน” ไปผุดในเดือนใหม่ นั่นก็คือปี 2563 นี้ มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิด “Sell in June” (เทขายหุ้นในเดือน มิ.ย.) แทนนั่นเอง

“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสเกิด”Sell in June” เนื่องจากเริ่มไร้ปัจจัยบวกใหม่ที่จะเข้าหนุนดัชนีให้ปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีปัจจัยบวกในประเทศจากการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี ภาครัฐทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ต่อเนื่อง

“เดือน พ.ค.ปีนี้ ไม่มี Sell in May อารมณ์เหมือนโกงความตายมาแล้ว คือจริง ๆ ควรจะลง แต่ดันไม่ลง เพราะฉะนั้นอาจจะยกยอดจากเดือน พ.ค.ที่ปกติเกิด Sell in May ประมาณ 3-5% หรือประมาณ 40-50 จุด มาเกิดในช่วงเดือน มิ.ย. โดยมีโอกาสที่ SET index จะปรับลดลงมาอยู่ที่บริเวณ 1,260-1,280 จุด จากตอนนี้อยู่บริเวณใกล้ ๆ 1,350 จุด” นายณัฐพลกล่าว

ทั้งนี้ ปัจจัยในประเทศมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ทั้งการเมืองที่มีความเสี่ยงปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโอนงบฯ และพระราชกำหนด 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ มูลค่า 4 แสนล้านบาทอยู่ด้วย

ส่วนปัจจัยต่างประเทศก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องการระบาดของไวรัสระลอก 2 รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่เริ่มปะทุอีกครั้ง จะเป็นแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจต่างประเทศ (global play) โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด

นอกจากนี้ ในเดือน มิ.ย.จะเป็นเดือนสุดท้ายที่จะสามารถซื้อกองทุนรวมเพื่อการออมแบบพิเศษ (SSFX) เพื่อลดหย่อนภาษี โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นอีกราว 3,000-4,000 ล้านบาท และคาดว่าเม็ดเงินในส่วนนี้จะเป็นตัวช่วยพยุงตลาดหุ้นไม่ให้ปรับลงหลุดแนวรับที่ประเมินเอาไว้

“กลยุทธ์การลงทุน เราอยากให้รอดูก่อน เพราะตลาดเพิ่งปรับฐาน ถ้าปรับลงมาเยอะ ก็แนะนำให้นักลงทุนกลาง-ยาวเข้าสะสมอีกรอบได้ ส่วนคนที่เล่นเก็งกำไรสั้น ๆ อยากให้รอตลาดนิ่งกว่านี้ แล้วค่อยเล่นเก็งกำไร แต่ตอนนี้กลุ่มที่พอจะเก็งกำไรได้ในมุมมองเรา ก็มีกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มอุตสาหกรรม”

ขณะที่ “ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า SET index ในเดือน พ.ค.ปรับขึ้น 2.22% ตอบรับประเด็นบวกต่าง ๆ ได้แก่ การค้นพบวัคซีนป้องกันโควิด-19 การคลายล็อกธุรกิจ มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ ฯลฯ แต่ต่างชาติยังคงขายสุทธิราว 3.6 หมื่นล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนที่ต่างชาติขายสุทธิ 7.84 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ พบว่านักลงทุนในประเทศ ได้แก่ รายย่อยซื้อสุทธิ 1.82 หมื่นล้านบาท สถาบันซื้อสุทธิ 1.71 หมื่นล้านบาท และ บัญชี บล.ซื้อสุทธิ 1,000 ล้านบาท

“การที่รายย่อยซื้อสุทธิสูง อาจเป็นพฤติกรรมแสวงหากำไร (Search for Yield) ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งแรงซื้อยังเข้ามาในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กค่อนข้างมาก ซึ่งต้องระวัง สะท้อนว่าตลาดมีการซื้อเก็งกำไรค่อนข้างมาก” นายชาญชัยกล่าว

ขณะที่แนวโน้มของตลาดหุ้นในเดือน มิ.ย. ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีที่แนวต้านบริเวณ 1,360-1,390 จุด และแนวรับ 1,250 จุด

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศ อาจกดดันให้ SET index ปรับขึ้นได้จำกัด ได้แก่ 1.มูลค่าตลาดหุ้นไทย (valuation) ที่เริ่มตึงตัว โดยล่าสุดหุ้นไทยซื้อขายด้วยอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) 20 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่อยู่ระหว่าง 11-17.5 เท่า 2.ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน และ 3.ความเสี่ยงไวรัสแพร่ระบาดระลอก 2

“ชาญชัย” ก็มองว่า เดือน มิ.ย.ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดแรงขาย หรือ “Sell in June” จากที่ตลาดหุ้นไทยตอบรับปัจจัยบวกไปค่อนข้างมากแล้วในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจาก 3 ปัจจัยที่มากดดันดัชนีอีกด้วย ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม จึงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มปลอดภัย (defensive play)และกลุ่มที่ปรับขึ้นช้ากว่าดัชนี (laggard play) อย่าง บมจ.ทีทีดับบลิว(TTW) บมจ.บีซีพีจี (BCPG) และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)

“คาดว่าเม็ดเงินจาก SSFX จะไหลเข้าตลาดหุ้นเดือน มิ.ย.ราว 3,000-4,000 ล้านบาท สูงกว่าช่วง 2 เดือนแรกที่เปิดขาย ที่มีเงินไหลเข้ารวมกันราว 5,000 ล้านบาท หรือตกเดือนละ 2,500 ล้านบาท เนื่องจาก มิ.ย.เป็นเดือนสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีพิเศษได้ อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินระดับดังกล่าวไม่สามารถขับเคลื่อนดัชนีได้มากนัก” นายชาญชัยกล่าว

ด้วยความที่ปีนี้เป็นปีที่ไม่ปกติ ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสจะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ ส่วนจะเป็นตอนไหนนั้น คงยากจะคาดเดา ดังนั้น นักลงทุนก็ต้องติดตามสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และลงทุนด้วยความระมัดระวัง