ระวัง Sell in September

ตลาดหุ้นไทย
คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน
เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS)

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน มาถึงตอนนี้ นับว่าแนวรับสำคัญบริเวณ 1,290-1,300 จุด ยังทำหน้าที่ได้ดี

โดยในระหว่างเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา แม้ดัชนีหลุดต่ำกว่า 1,300 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหนุนเรื่องความคืบหน้าด้านวัคซีน และความคลายกังวลในข้อตกลงการค้า หลังการเจรจาระหว่างผู้แทนการค้าสหรัฐ และจีน ผ่านไปได้ด้วยดี เป็นแรงหนุนให้ดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวเหนือระดับ1,300 จุด อีกครั้ง ขณะที่การประกาศ

ผลประกอบการ 2Q63 กําไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ลดลง 47% YOY โดยมีสาเหตุมาจากการ lockdown และการจํากัดการเดินทางอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ในขณะที่กําไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น 32% QOQ หนุนจากกําไรสต๊อกในกลุ่มพลังงาน

ทั้งนี้ คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว จากนี้ไปจะค่อย ๆ ฟื้นตัวใน 2H63 โดยคาดว่าอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เช่น โรงแรมบันเทิง การเงิน สายการบิน และยานยนต์ จะยังคงเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ICT ขนส่งทางบกและทางราง การแพทย์และบรรจุภัณฑ์ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น และมีความสามารถสูงในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์

ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิต่อเป็นเดือนที่ 12 ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.0 หมื่นล้านบาท ขณะที่ performance ของดัชนี MSCI Thailand ยังคงแย่กว่า MSCI APAC ex. Japan ทั้งในช่วง 1, 3, 6 และ 12 เดือนหลังสุด นอกจากนี้ในเดือนส.ค. Consensus มีการปรับประมาณการกำไรปี”63 ของ SET ลงอีก 4.9%

เช่นเดียวกับฮ่องกง และอินโดนีเซีย ที่ปรับประมาณการกำไรปีนี้ลง 2.3% และ 3.7% ตามลำดับตรงข้ามกับไต้หวัน และอินเดีย ที่ปรับประมาณการกำไรขึ้น 2.7% และ 1.3% ตามลำดับ

มาถึงแนวโน้ม SET ในเดือน ก.ย. แม้บริเวณ 1,290-1,300 จุด ยังเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง โดยรองรับการปรับตัวลงของ SET มาได้ถึง 3 ครั้งแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ผมให้ระวังด้านdownside risk ที่จะทำให้ SET หลุด 1,290-1,300 จุด โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,265-1,275 และ 1,250 จุด ตามลำดับ

โดยมีปัจจัยลบจาก 1) แรงขายปรับพอร์ตจากตลาดหุ้นทั่วโลก นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดจะเผชิญปัจจัยทางด้านการเมืองก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในช่วงเดือน พ.ย. เป็นปัจจัยกระตุ้นแรงขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน 2) ปัญหาการเมืองในประเทศที่ทวีความร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะความกังวลด้านการชุมนุมที่อาจสร้างความอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ปะทะอันอาจนำมาซึ่งการใช้ความรุนแรง และ 3) ราคาน้ำมันที่มีโอกาสปรับฐาน จะเป็นปัจจัยลบต่อกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักต่อตลาด ส่งผลให้ในเดือนก.ย. ผมให้ระวังว่าจะเกิด sell in Septemberแทน sell in May ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้น

ด้านกลยุทธ์การลงทุน เน้นการ selective buy ในกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจ โดยแนะนำหุ้นใน 4 theme คือ 1) หุ้นที่ผลประกอบการมีความแน่นอนสูง และ div. yield สูง (TTW DIF) 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการพัฒนาวัคซีนและมาตรการท่องเที่ยวภาครัฐ (AOT BDMS ERW) 3) หุ้นพื้นฐานแกร่ง มีประเด็นเติบโตหนุน (BEM GFPT BCH ADVANC CPALL) และ 4) หุ้นโรงไฟฟ้าที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่เปลี่ยน (GULF BGRIM RATCH)

นำมาซึ่งหุ้นเด่นที่จะแนะนำ โดยเลือกมาจาก 4 ธีมดังกล่าว และได้ 5 หุ้นเด่นที่จะแนะนำ ได้แก่

1) GFPT คาดกำไรฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2H63 ไปถึงปี”64 จากราคาไก่ในประเทศฟื้น อีกทั้งจะเริ่มเดินเครื่องสายการผลิตทดแทนหลังเพลิงไหม้ และมีสายการผลิตใหม่ หนุนกำลังผลิตปรับเพิ่มอีก 30%

2) BCH มองผลการดำเนินงานจะดีขึ้นใน 2H63 จากการกลับมาใช้บริการของผู้ป่วยคนไทย และบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว

3) BEM มองใน 2H63 คาด traffic บนทางด่วนและ MRT จะฟื้นตัวแกร่ง หลังรัฐคลายล็อกดาวน์ อีกทั้งยังมี upside risk จากชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (1.5 บาท/หุ้น) และสายสีม่วงใต้ (0.75 บาท/หุ้น)

4) ERW คาดผลการดำเนินงาน 3Q63 ฟื้นตัว หลังเปิดโรงแรมครบทุกแห่งในเดือน ส.ค. รับอานิสงส์มาตรการท่องเที่ยวในประเทศ อีกทั้งการลดต้นทุนจะช่วยหนุนความสามารถในการทำกำไร

5) GULF โดย Consensus คาดผลประกอบการ 2H63 จะดีขึ้น YOY จากการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าลมที่เยอรมนีเต็มปี และคาดได้เงินปันผลจาก INTUCH เข้ามาหนุน


…แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้าครับ ด้วยรักและหวังดี