เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์ “ช้อปดีมีคืน”-กระแสเปิดตัว “iPhone” รุ่นใหม่รองรับ 5G

ช้อปดีมีคืน

“บล.เอเซียพลัส” เปิดโผหุ้นรับอานิสงส์ “ช้อปดีมีคืน” คาดเม็ดเงินสะพัดกว่า 1.2 แสนล้านบาท สูงกว่าในรอบก่อนๆ 5-6 เท่าตัว พร้อมรับกระแส iPhone เตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่รองรับเทคโนโลยี 5G ในสัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานข้อมูลบริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด ว่า มาตรการช้อปดีมีคืนถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่นักช้อปสินค้าและนักช้อปหุ้นเฝ้ารอ โดยปีนี้รัฐจัดเต็มเพิ่มทั้งวงเงินลดหย่อนภาษี 2 เท่า (จาก 1.5 หมื่นบาท เป็น 3 หมื่นบาท) และเพิ่มช่วงเวลาในการช้อปยาวนาน 3 เท่า (จาก 23 ต.ค.-สิ้น ธ.ค.2563) โดยทางรัฐบาลคาดหวังมาตการนี้น่าจะหนุนเม็ดเงินสะพัดในระบบถึง 1.2 แสนล้านบาท สูงกว่าในรอบก่อนๆ 5-6 เท่าตัว

โดยกระแสดังกล่าวถือว่าส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัท ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ทำการคัดกรองหุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสดังกล่าว มีดังนี้

นอกจากนี้ยังมีกระแส IPhone เตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่ รองรับเทคโนโลยี 5G ในสัปดาห์หน้า ช่วยหนุนให้หุ้นค้าขายมือถือ (COM7, SPVI) รวมถึงหุ้นสื่อสารได้เซนติเมนต์เชิงบวกมากขึ้น (ADVANC, JMART)

กลยุทธ์การลงทุนในยามที่ต่างชาติยังขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แนะนำหุ้นที่มี Sentiment เฉพาะตัวหนุน น่าจะมีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีกว่า ฝ่ายวิจัยเลือก JMART (ได้ปัจจัยบวกจากการเปิดตัว iPhone ตัวใหม่ + ช้อปดีมืคืน), CPN (ได้ปัจจัยบวกจากช้อปดีมืคืน) รวมถึงแนะนำเก็งกำไร WORK (เตรียมรับรายการ 10 Fight 10 Season 2 ที่จะฉายวันแรก 12 ต.ค. 63 นี้)

ทั้งนี้ปัจจุบันมีพัฒนาการเกี่ยวข้องเทคโนโลยี 5G ต่อเนื่อง เริ่มจากการเปิดตัวแพ็คเกจบริการ 5G ของ ADVANC และ TRUE ในช่วงสัปดาห์ก่อน ตามด้วยกำหนดการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่วันที่ 13 ต.ค. 63 ที่เปิดเผยช่วงต้นสัปดาห์นี้ นอกจากนี้ยังมีในส่วนการเปิดตัวมือถือรองรับ 5G ได้ในกลุ่มผู้ผลิตจีน เช่น Xiaomi, Oppo, Vivo, Huawei ประเด็นดังกล่าวถือเป็นบวกต่อกลุ่มผู้จำหน่ายสินค้ามือถือในตลาด อาทิ COM7, JMART, SPVI, CPW รวมถึงผู้จำหน่ายสินค้าไอทีกลุ่มค้าส่ง คือ SYNEX และ SIS เชื่อว่าในกลุ่มดังกล่าว JMART เป็นผู้ที่มีโอกาสจะได้รับประโยชน์สูงเป็นลำดับต้น

เนื่องจาก 1. เป็นบริษัทเดียวที่เน้นจำหน่ายสินค้าโทรศัพท์มือถือเป็นหลักและครอบคลุมทุกแบรนด์ บวกกับมีช่องทางขายในเครือที่หลากหลาย คือ ทั้งหน้าร้าน JMART, ลูกตู้ในพื้นที่เช่า IT Junction ของ J (ถือหุ้น 75%) และการขายตรงผ่านช่องทาง SINGER (ถือหุ้น 30%)

นอกจากนี้ JMART เป็นพันธมิตรกับ ADVANC ซึ่งมีความพร้อมบริการ 5G สูง คาดช่วยดึงลูกค้าที่สนใจ 5G เข้ามาซื้อสินค้ากับทางกลุ่มได้ อีกทั้งยังมีอานิสงส์ความต้องการซื้อที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากมาตรการช็อปดีมีคืน

นอกจากนี้ จุดเด่นที่เหนือรายอื่นคือ 2. การที่มีธุรกิจการเงินในเครือ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อสินค้ารุ่นใหม่มาใช้ก่อน ตามกระแสความนิยม ภาพรวมเชื่อว่า ธุรกิจในกลุ่ม JMART จะสร้างกำไรระดับสูงสุดต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นประเมินงวดไตรมาส 3/63 ที่ราว 200 ล้าน บาท เติบโต 20.4% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 77% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จะเพิ่มขึ้นมากกว่านั้นในงวดไตรมาส 4/63 ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปิด Upside กำไรปกติที่ฝ่ายวิจัยประเมินปี 2563 ราว 625 ล้านบาท